tag:blogger.com,1999:blog-27245326243684937062024-03-05T15:11:46.260-08:00aom_club*nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.comBlogger31125tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-42049105236566545982010-02-12T02:46:00.000-08:002010-02-12T02:48:18.251-08:00สามารถติดต่อได้<br/><a href="http://glitter.postjung.com/?gx=2010021217%2F4dpi6t4.gif" target="_blank" title="คลิ๊ก..สร้าง Glitter ด้วยตัวคุณเอง"><img border="0" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010021217/4dpi6t4.gif" alt="คุยกันได้ที่ max.papang@hotmail.com jintanachai127@gmail.com http://nanavagi.blogspot.com เบอร์โทรติดต่อ 0854533572"/><br/>สร้างกริตเตอร์</a> | <a href="http://music.postjung.com">ฟังเพลง</a> | <a href="http://star.postjung.com">ดารา</a> | <a href="http://game.postjung.com">เกมส์</a>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-68426335314948327962010-02-11T01:47:00.000-08:002010-02-11T02:05:05.336-08:00ประวัติครอบครัวของฉัน<span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;">ครอบครัวของฉันอยู่ร่วมกัน 4 คน</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;"> มีพ่อ </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;"> มีแม่</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;"> มีพี่ชาย</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;"> และตัวของฉัน</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;"> </span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;"> ครอบครัวทำอาชีพค้าขาย </span><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;">พ่อรับราชการ</span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;">ส่วนแม่เป็นแม่บ้าน </span><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff6666;">พี่ชายเรียนที่ม.เกษตรศาสตร์</span>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com32tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-25363953211691650822010-02-10T22:43:00.000-08:002010-02-11T01:45:28.226-08:00ที่อยู่อาศัย/งานอดิเรก/สีที่ชอบปัจจุบันอยู่ที่บ้าน ศรีบุญเรือง อ.ศรีบุยเรือง จ.หนองบัวลำภู<br /><br /><br />งานอดิเรกที่ทำ......อ่านการ์ตูนและทำตุ๊กตา<br /><br /><br /><a title="คลิ๊ก..สร้าง Glitter ด้วยตัวคุณเอง" href="http://glitter.postjung.com/?gx=2010021113%2F4i1obm8.gif" target="_blank"><img alt="อ่านวันละนิด จิตแจ่มใส" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010021113/4i1obm8.gif" border="0" /><br />สร้างกริตเตอร์</a> <a href="http://music.postjung.com/">ฟังเพลง</a> <a href="http://star.postjung.com/">ดารา</a> <a href="http://game.postjung.com/">เกมส์</a><br /><br />สีที่ชื่นชอบ ขาว กรมฑา และ ดำ<br />อาหารที่ชอบ ขนมจีน ส้มตำ และทุกอย่างที่กินแล้วอร่อยnanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-36087762794922172962010-02-10T22:13:00.000-08:002010-02-11T01:08:21.822-08:00วันเกิด/การศึกษา<span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#ff0000;">อ้อมเกิดวันจันทร์ที่ 21 เดือนพฤศจิกายน 2531<br />เกิดตอนช่วงเวลาใกล้เช้า ที่โรงพยาบาลอุดร<br /></span></strong><br /></span><br /><a title="คลิ๊ก..สร้าง Glitter ด้วยตัวคุณเอง" href="http://glitter.postjung.com/?gx=2010021113%2F2qun029.gif" target="_blank"><img border="0" alt="21 - 11 -1988" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010021113/2qun029.gif" /><br />สร้างกริตเตอร์</a> <a href="http://music.postjung.com/">ฟังเพลง</a> <a href="http://star.postjung.com/">ดารา</a> <a href="http://game.postjung.com/">เกมส์</a><br /><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#cc0000;"><strong>ส่วนการศึกษา:-เรียนอุนุบาลที่ รร.มณีรัตน์<br />-ชั้นประถมเรียนที่ รร.บ้านตาดไฮ<br />-ชั้นมัธยมต้นเรียน ม.1 รร.หนองบัววิทยายน<br />-ชั้นมัธยมต้นเรียน ม.3 รร.พิชญบัณฑิต<br />-ชั้นมัธยมปลายเรียนที่ รร.ศรีบุญเรืองวิทยาคาร<br />ปัจจุบันเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม<br />เรียนสาขาสังคมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์<br />ชั้นปี่ที่ 3<br /></strong><br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSu6wm7vpxDZ5ccln31aWAlTSPpLa3uqGbqvvzV4zpjhqQPTsAV1niU-Yrwhz5hrO7gwhGkFIjA4bThfs1F1QL05kMjcfbpkp9pJpGFlcZpBG1pB48F7y2pgynyR5MIktPTgJYqT1g7fRP/s1600-h/DSC02633.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 235px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5436870727669913570" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjSu6wm7vpxDZ5ccln31aWAlTSPpLa3uqGbqvvzV4zpjhqQPTsAV1niU-Yrwhz5hrO7gwhGkFIjA4bThfs1F1QL05kMjcfbpkp9pJpGFlcZpBG1pB48F7y2pgynyR5MIktPTgJYqT1g7fRP/s320/DSC02633.jpg" /></a><br /><br /><br /><br /><a title="คลิ๊ก..สร้าง Glitter ด้วยตัวคุณเอง" href="http://glitter.postjung.com/?gx=2010021113%2F3r1f0ff.gif" target="_blank"><img border="0" alt="นักเรียนจ๊ะวันนี้คุณครู อ้อม มาสอนเป็นวันแรก ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะจ๊ะ" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010021113/3r1f0ff.gif" /><br />สร้างกริตเตอร์</a> <a href="http://music.postjung.com/">ฟังเพลง</a> <a href="http://star.postjung.com/">ดารา</a> <a href="http://game.postjung.com/">เกมส์</a>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-10828823525662962652010-02-08T19:16:00.000-08:002010-02-10T21:45:08.903-08:00แนะนำตัว<br/><a href="http://glitter.postjung.com/?gx=2010021112%2F447mj4l.gif" target="_blank" title="คลิ๊ก..สร้าง Glitter ด้วยตัวคุณเอง"><img border="0" src="http://61.47.7.26:8080/glitter/data/2010021112/447mj4l.gif" alt=" มารู้จักกันค่ะ ชื่อ จินตนา ไชยวาน เล่น..อ้อม 149 ซม. สัดส่วน. คงจะเตี้ย เป็นคนสดใสร่าเริง ชิวๆ "/><br/>สร้างกริตเตอร์</a> | <a href="http://music.postjung.com">ฟังเพลง</a> | <a href="http://star.postjung.com">ดารา</a> | <a href="http://game.postjung.com">เกมส์</a>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-79386762560429936492010-02-01T22:19:00.000-08:002010-02-01T23:06:36.530-08:005 รูปแบบประเภทของเว็บไซต์ E-Commerce 3<strong><br /><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><span style="color:#000099;">5 รูปแบบประเภทของเว็บไซต์ E-Commerce</span><br /><br />รูปแบบของการทำเว็บไซต์ E-Commerce มีหลายประเภททั้งนี้และทั้งนั้นต้องขึ้นอยู่กับความต้องการและรูปแบบในการทำของแต่ละเว็บว่าจะมีรูปแบบเป็นอย่างไร ซึ่งแต่ละแบบก็มีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งลองมาดูกันว่า คุณจะเลือกรูปแบบการทำ E-Commerce รูปแบบไหน ที่จะเหมาะสมกับคุณและธุรกิจของคุณมากที่สุด<br /><br /><br /><span style="color:#009900;">1. การประกาศซื้อ-ขาย (E-Classified)</span><br /><br />เป็นรูปแบบเว็บไซต์ E-Commerce ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจประกาศความต้องการ ซื้อ-ขาย สินค้าของตนได้ภายในเว็บไซต์ โดยเว็บไซต์จะทำหน้าที่เหมือนกระดานข่าวและตัวกลางในการแสดงข้อมูลสินค้าต่างๆ และหากมีคนสนใจสินค้าที่ประกาศไว้ ก็สามารถติดต่อตรงไปยังผู้ประกาศได้ทันทีจากข้อมูลที่ประกาศอยู่ภายในเว็บไซต์ โดยส่วนใหญ่จะมีการแบ่งหมวดหมู่ของประเภทสินค้าเอาไว้ เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าไปเลือกซื้อ-ขายสินค้าในเว็บไซต์ เช่น www.ThaiSecondhand.com การซื้อขายรูปแบบนี้ ผู้ขายไม่จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ของตัวเองเลย แค่อาศัยพื้นที่ของเว็บที่เปิดโอกาสให้ประกาศขายของ ก็สามารถเริ่มต้นการค้าขายได้แล้ว ข้อดีเริ่มต้นได้ง่ายทันที ฟรี ข้อเสียคือไม่เหมาะกับผู้ที่มีสินค้าเป็นจำนวนมากๆ<br /><br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTKIPlzlbqgD0tVtoX4XF-MBko968V0NAE4RbAY3tTbB9tp8SWtT2rObZ5v9w_L5muuNYbnZo-fqBpC14iuOnVZzmRJlay59I6WFbeoKYWU-ozQAkoVBVV44y8BPWLxrtJEcT776HwfNI_/s1600-h/ecomcook.gif"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 230px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433530912724696450" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgTKIPlzlbqgD0tVtoX4XF-MBko968V0NAE4RbAY3tTbB9tp8SWtT2rObZ5v9w_L5muuNYbnZo-fqBpC14iuOnVZzmRJlay59I6WFbeoKYWU-ozQAkoVBVV44y8BPWLxrtJEcT776HwfNI_/s320/ecomcook.gif" /></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><br /><br /><span style="color:#009900;">2. เว็บไซต์แคตตาล็อกสินค้าออนไลน์ (Online Catalog Web Site)<br /></span><br />เป็นรูปแบบจัดทำเว็บไซต์ E-Commerce ในรูปแบบแคตตาล็อกออนไลน์ ที่มีรูปภาพและรายละเอียด สินค้าพร้อมที่อยู่เบอร์โทรติดต่อ ไม่มีระบบการชำระเงินผ่านทางเว็บไซต์ หรือระบบช้อปปิ้งการ์ด (ตะกร้าสินค้าออนไลน์) โดยหากผู้สนใจสินค้าก็เพียงโทรสอบถามและสั่งซื้อสินค้าได้ ซึ่งเป็นการใช้เว็บไซต์เป็นเหมือนโบรชัวร์หรือแคตตาล็อกออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาเลือกดูรายละเอียดสินค้าและราคาได้ จากทั่วประเทศหรือทั่วโลกผ่านทางเว็บไซต์ ข้อดีของเว็บแบบนี้คือ สร้างได้ง่ายเหมาะกับการค้าในพื้นที่หรือประเทศเดียวกัน ข้อเสียคือ ไม่สามารถขายและรับเงินได้ทันทีจากลูกค้า ที่ต้องการชำระเงินผ่านเว็บไซต์<br /><br />ซึ่งโดยส่วนใหญ่กว่า 70% ของเว็บไซต์ E-Commerce ในประเทศไทยจะเป็นเว็บไซต์ในลักษณะนี้ เพราะด้วย รูปแบบเว็บไซต์สามารถจัดทำได้ง่าย ไม่มีความซับซ้อนมากนัก ทำให้สามารถเริ่มต้นทำได้ง่าย เช่น www.PlatinumPDA.com<br /><br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEia0TrnfR7HLVG6scSIb54ZEyOwA-zoWXPsytSKgoEVb4aSMKHMrrvig7S7qd2r16ajtCltxAEXJ1lHzGh9kEJcfmo8quhMeR1_KOUBYeLsICAT23YuMctC4ywoh8Sp_TKsAvBSERmd8YdY/s1600-h/ecomfm.gif"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 256px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433533287346982482" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEia0TrnfR7HLVG6scSIb54ZEyOwA-zoWXPsytSKgoEVb4aSMKHMrrvig7S7qd2r16ajtCltxAEXJ1lHzGh9kEJcfmo8quhMeR1_KOUBYeLsICAT23YuMctC4ywoh8Sp_TKsAvBSERmd8YdY/s320/ecomfm.gif" /></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><br /><br /><span style="color:#009900;">3. ร้านค้าออนไลน์ (E-Shop Web Site)<br /></span><br />เป็นรูปแบบเว็บไซต์ E-Commerce สมบูรณ์แบบ ที่มีทั้งระบบการจัดการสินค้า ระบบตะกร้าสินค้า (Shopping Cart) ระบบการชำระเงิน รวมถึงการขนส่งสินค้า ครบสมบูรณ์แบบ ทำให้ผู้ซื้อสามารถสั่งซื้อสินค้าและทำการชำระเงินผ่านเว็บไซต์ได้ทันที โดยการชำระเงินส่วนใหญ่สามารถชำระเงินผ่าน บัตรเครดิต เป็นส่วนมาก<br /><br />ในการจัดทำเว็บไซต์ลักษณะนี้ จะต้องมีระบบหลายๆ อย่างประกอบอยู่ภายใน ทำให้มีความซับซ้อนและมีรายละเอียดในการจัดทำค่อนข้างมาก แต่ตอนนี้ก็มีเว็บไซต์ E-Commerce สำเร็จรูป ที่พร้อมใช้บริการและมีทุกอย่างพร้อมสรรพ ทำให้สามารถเริ่มต้นทำเว็บลักษณะนี้ได้อย่างรวดเร็ว หากท่านสนใจ ร้านค้าออนไลน์ สามารถสมัครใช้บริการฟรี ได้ที่ www.TARADquickwe.com<br /><br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicuZFQhip_Je2IEo6Me9pkTu9hWpNicJcpmQPxCAJ6xKmKUDsq1vLa0zYoVHqPfdwpMyDBKzS4WUqnZbeSVpOfmtYJsjYuNE4jFrNKQ6Ux9jmrgCSfmcZrfKu1z33QEI8x103LF-zDJl-p/s1600-h/ecomkhonthai.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 186px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433533790281577122" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicuZFQhip_Je2IEo6Me9pkTu9hWpNicJcpmQPxCAJ6xKmKUDsq1vLa0zYoVHqPfdwpMyDBKzS4WUqnZbeSVpOfmtYJsjYuNE4jFrNKQ6Ux9jmrgCSfmcZrfKu1z33QEI8x103LF-zDJl-p/s320/ecomkhonthai.jpg" /></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><br /><br /><span style="color:#009900;">4.การประมูลสินค้า (Auction)<br /></span><br />เป็นเว็บไซต์ E-Commerce ที่มีรูปแบบของการนำสินค้าของไปประมูลขายกัน โดยจะเป็นการแข่งขันใน การเสนอราคาสินค้า หากผู้ใดเสนอราคาสินค้าได้สูงสุดในช่วงเวลาที่กำหนด ก็จะชนะการประมูลและสามารถซื้อสินค้าชิ้นนั้นไปได้ ด้วยราคาที่ได้กำหนดไว้ โดยส่วนใหญ่สินค้าที่นำมาประมูล หากเป็นสินค้าใหม่ ซึ่งหลังการประมูลสินค้าจะมีราคาที่ไม่สูงกว่าราคาท้องตลาด ยกเว้นสินค้าเก่า บางประเภท หากยิ่งเก่ามากยิ่งมีราคาสูง เช่น ของเก่า ของสะสม เป็นต้น เช่น http://auction.tarad.com, www.ebay.com<br /><br /><br /><br /><span style="color:#009900;">5.ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Marketplace)<br /></span><br />เป็นเว็บไซต์ E-Commerce ที่มีรูปแบบเป็นตลาดนัดขนาดใหญ่ โดยภายในเว็บไซต์จะมีการรวบรวมเว็บไซต์ของร้านค้าและบริษัทต่างๆ มากมาย โดยมีการแบ่งหมวดหมู่ของสินค้าเอาไว้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าไป ดูสินค้าภายในร้านค้าต่างๆ ภายในตลาดได้อย่างง่ายดายและสะดวก โดยรูปแบบของตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ บางแห่งมีการแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบ ตามลักษณะของสินค้าที่มีอยู่ภายในตลาดแห่งนั้น เช่น ตลาดสินค้าทั่วไป www.TARAD.com เว็บไซต์ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับอาหาร www.FoodMarketExchange.com เว็บไซต์ตลาดกลางอิเล็กทรอนิกส์ของสินค้า OTOP อย่าง www.thaitambon.com เป็นต้น<br /><br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqmqCfYMAKNtGmFVM7dajfz5NsvgCst-bANcOSpBDj9X1wPK4S24Mu1G7XzMWSlUKQccmbrvcWxREeUSgDVvQuxo5MNWmaXk1298GS94WXZNh1u6IfgPIpGyN9oSJgFlujkw69c5JDsJyP/s1600-h/ecombig.gif"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 256px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433530638790224738" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgqmqCfYMAKNtGmFVM7dajfz5NsvgCst-bANcOSpBDj9X1wPK4S24Mu1G7XzMWSlUKQccmbrvcWxREeUSgDVvQuxo5MNWmaXk1298GS94WXZNh1u6IfgPIpGyN9oSJgFlujkw69c5JDsJyP/s320/ecombig.gif" /></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><br /><br /> ดังนั้นจะเห็นว่า รูปแบบของ E-Commerce มีอยู่ 5 รูปแบบ ดังนั้นการเริ่มต้นและการนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจ และการค้าขายของคุณ ก็ควรเลือกรูปแบบที่มีความเหมาะสม และอาจจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปก็ได้ หรือจะผสมผสานทำหลายๆ อย่างพร้อมกันในครั้งเดียวกันก็ได้เช่น มีเว็บไซต์ ร้านค้าออนไลน์ (E-Shop Web Site) และไปใช้บริการ การประกาศซื้อ-ขาย (E-Classified) หรือ การประมูลสินค้า (Auction) เป็นช่องทางเสริมในการทำให้ คนรู้จักเว็บไซต์ของเรามากขึ้นก็ได้เช่นกัน...<br /><br /><br /><span style="color:#009900;">แหล่งที่มาของข้อมูล</span><br /><br />http://www.pawoot.com/node/327<br />http://thaiall.com/article/ecommerce.htm<br />http://thaiall.com/article/ecommerce.htm#link</span></strong>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-47237449615763492552010-01-27T23:34:00.000-08:002010-02-01T22:19:37.460-08:00E-Commerce (การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์)<span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong>E-Commerce (การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์) </strong></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /></strong></span><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong></strong></span><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 324px; DISPLAY: block; HEIGHT: 287px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431695646040842722" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgX2I-NB_xoQJbopme2jR7u5GeJBu-pKBw5kRc8GR_zdju9rhD9ZZ1qNAtIhIMSLjIqz7m4kNPWJcKq8UiEUyPgFzlI09OKAJwUd_NDzNi5_P_8k2HJ8UrgASutIPA2t0GMubZissy8m9HV/s320/imagesCA13SAY9.jpg" /><br /><span style="color:#ff0000;">Electronic Commerce</span> หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริหาร การโฆษณาสินค้า การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น<br /><br /><span style="color:#ff0000;">จุดเด่นของ E-Commerce</span> คือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่ม ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยลดความสำคัญขององค์ประกอบของธุรกิจที่มองเห็นจับต้องได้ เช่นอาคารที่ทำการ ห้องจัดแสดงสินค้า (show room) คลังสินค้า พนักงานขายและพนักงานให้บริการต้อนรับลูกค้า เป็นต้น ดังนั้นข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์คือ ระยะทางและเวลาทำการแตกต่างกัน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจอีกต่อไป<br /><br /><br /><span style="color:#ff0000;">อุปกรณ์และวิธีการทำ E-commerce</span><br /><br />อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วย ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูล ระบบสื่อสารอาจเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์ แต่ระบบอินเทอร์เน็ตซึ่งเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก เป็นระบบเปิดกว้าง โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย ที่เรียกว่า world wide web มาจากความเป็นเอกลักษณ์คือสามารถสร้างให้มี hyperlink จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ไป webpage อื่น หรือไป website อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถสื่อได้ทั้งภาพ เสียง และภาษาหนังสือที่หลากหลายซับซ้อน สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ทันทีทันใด ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สามารถบันทึกเก็บไว้หรือนำใช้ต่อเนื่องได้ การประยุกต์ใช้ และกระแสตอบรับธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจึงแพร่หลายภายในระยะเวลาอันสั้น<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEje3r86K9o_pKthjBd0QMGZu7cNkDQcIJpAY7LXoQ1HnnpXz3QXuDC7H64cDYhEl5tJkgzQLrGfuoUvgnfnwJepYmE8kDxLVikKYxl_019gAzBoLhTJaVD1iqLKo3LSs1zJQ5KKc-1Wmf7S/s1600-h/survey-june1.gif"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 294px; DISPLAY: block; HEIGHT: 300px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431692995426468322" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEje3r86K9o_pKthjBd0QMGZu7cNkDQcIJpAY7LXoQ1HnnpXz3QXuDC7H64cDYhEl5tJkgzQLrGfuoUvgnfnwJepYmE8kDxLVikKYxl_019gAzBoLhTJaVD1iqLKo3LSs1zJQ5KKc-1Wmf7S/s320/survey-june1.gif" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br />E-Commerce ใช้ติดต่อกับลูกค้าได้หลายระดับ ธุรกิจกับลูกค้า ธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจกับภาครัฐ ฯ สาระของการติดต่อจะมี 4-5 ประการ คือ<br /><br />- การขาย รวมการโฆษณา แสดงสินค้า เสนอราคา สั่งซื้อ คำนวณราคา<br />- การชำระเงิน การตกลงวิธีชำระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ใช้ตัดบัญชี ตลอดจนเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ<br />- การขนส่ง แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง และสถานที่ติดต่อและระบบติดตามสินค้าที่ส่ง<br />- บริการหลังการขาย การติดต่อภายในบริษัท เช่นระบบบัญชี คลังสินค้า ระบบสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบ สั่งผลิต ตลอดจนบริการลูกค้าหลังการขาย<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZnjU15jS7P_wOMwwKX3CAYlsU3F8RuEconaKgM15NaKJYKroEpASmOFdiZ1PNbH81ZIRjZYLb4PL17kZnVSrgUysYfA9wMEprHVVpt7YRxrTiPwVXqpHdUXyyOq7GC19alP0coTcygM8H/s1600-h/resize_3351__20052007114920.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 240px; DISPLAY: block; HEIGHT: 276px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431691494398277810" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZnjU15jS7P_wOMwwKX3CAYlsU3F8RuEconaKgM15NaKJYKroEpASmOFdiZ1PNbH81ZIRjZYLb4PL17kZnVSrgUysYfA9wMEprHVVpt7YRxrTiPwVXqpHdUXyyOq7GC19alP0coTcygM8H/s320/resize_3351__20052007114920.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /><span style="color:#cc0000;">บทบาทภาครัฐกับ E-Commerce</span><br /><br />เนื่องจากการทำธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันกันร้อนแรง ส่วนใหญ่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นไปได้ที่คู่ค้าอาจไม่เคยรู้จักติดต่อกันมาก่อน ปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาครัฐได้แก่ แผนกลยุทธ์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อมิให้เสียเปรียบเชิงการค้าในระดับโลก โครงสร้างการสื่อสารที่ดีและเพียงพอ กฎหมายรองรับข้อมูลและหลักฐานการค้าที่ไม่อยู่ในรูปเอกสาร ระบบความปลอดภัยข้อมูลบนเครือข่ายและระบบการชำระเงิน<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbDI8Pw4wd2WqOE7lE8em8OY9fW6WgR6EeImuib6XnuPSi_5VJgUQKX0WgKp9I2F6_mMIgdreMgMttGOQGBndfLFmcB-BdysGOrSC1S7jEV_QZKBhv2y7khQCDG531mwkCiETmMeBbPFHb/s1600-h/imagesCA58MYZ8.jpg"><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 310px; DISPLAY: block; HEIGHT: 250px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431694290412446914" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbDI8Pw4wd2WqOE7lE8em8OY9fW6WgR6EeImuib6XnuPSi_5VJgUQKX0WgKp9I2F6_mMIgdreMgMttGOQGBndfLFmcB-BdysGOrSC1S7jEV_QZKBhv2y7khQCDG531mwkCiETmMeBbPFHb/s320/imagesCA58MYZ8.jpg" /></strong></span></a><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><span style="color:#ff0000;">E-Government</span> เป็นอีกมิติหนึ่งของการให้บริการภาครัฐออนไลน์ที่จะเอื้อให้ธุรกิจ ประชาชน ติดต่อใช้บริการ ในกรอบบริการงานแต่ละด้านของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยให้บริการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์แก่สถาบันการเงิน กรมทะเบียนการค้าให้บริการจดทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ การทำ E-Procurement เพื่อการจัดซื้อจัดหาภาครัฐก็เป็นบริการที่ควรดำเนินการ เพราะจะช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเป็นไปตามกรอบนโยบายของที่ประชุมเอเปคด้วย<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3AtVYxU4vdLi68DMZMsO8_VNhetTNycMVnaff8K3weRa0aAqfgyXhPrjuGSJoUGWbJqMSMmUIonX76dQdY1H1_NG4n06eRc3MSZbeiKbPumswUsmyPGHtsKRc6TEvHPB7ROk3n_ihOr3o/s1600-h/imagesCARMRZRU.jpg"><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 301px; DISPLAY: block; HEIGHT: 284px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431694403886130786" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg3AtVYxU4vdLi68DMZMsO8_VNhetTNycMVnaff8K3weRa0aAqfgyXhPrjuGSJoUGWbJqMSMmUIonX76dQdY1H1_NG4n06eRc3MSZbeiKbPumswUsmyPGHtsKRc6TEvHPB7ROk3n_ihOr3o/s320/imagesCARMRZRU.jpg" /></strong></span></a><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /><span style="color:#cc0000;">ความปลอดภัยกับ E-Commerce</span><br /><br />ระบบความปลอดภัยนับเป็นเรื่องที่โดดเด่นที่สุด และมีเทคโนโลยีความปลอดภัยคือ Public Key ซึ่งมีองค์กรรับรองความถูกต้องเรียกว่า CA (Certification Authority) ระบบนี้ใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณรหัสคุมข้อความจากผู้ส่งและผู้รับอย่างเฉพาะเจาะจงได้ จึงสามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับผู้ส่ง (Authentication) รักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Confidentiality) ความถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนของข้อมูล (Integrity) และผู้ส่งปฏิเสธความเป็นเจ้าของข้อมูลไม่ได้ (Non-repudiation) เรียกว่าลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature)<br /><br />ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการมีกฎหมายรองรับการทำธุรกรรมบนเครือข่าย ประเทศในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายรับรองการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายรองรับการทำธุรกิจดังกล่าว สำหรับในประเทศไทยก็เร่งจัดการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 6 ฉบับ โดยกฎหมาย 2 ฉบับแรกที่จะออกใช้ได้ก่อนคือ กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์<br /><br /><br /><span style="color:#cc0000;">การชำระเงินบน E-Commerce</span><br /><br />จากผลการวิจัยพบว่า วิธีการชำระเงินที่สำคัญสำหรับกรณีธุรกิจกับธุรกิจ ร้อยละ 70 ใช้วิธีหักบัญชีธนาคาร ขณะที่ ธุรกิจกับผู้บริโภคร้อยละ 65 ชำระด้วยบัตรเครดิต<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDDP8FWLZc1BqjrA-mNFufp23orXyKJFV8_XPR_Z3_n7fYvxkw-AT4_8o0QMKOz6CMSxQZFSj2x-tFClQbMyeHcAgkFe1kjMc4kyFLtD7Vgz2BfmvdT-wWUx6JVmM9lbxZUwQuof5TyAeB/s1600-h/imagesCA7FS92B.jpg"><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 285px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431694833602424690" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiDDP8FWLZc1BqjrA-mNFufp23orXyKJFV8_XPR_Z3_n7fYvxkw-AT4_8o0QMKOz6CMSxQZFSj2x-tFClQbMyeHcAgkFe1kjMc4kyFLtD7Vgz2BfmvdT-wWUx6JVmM9lbxZUwQuof5TyAeB/s320/imagesCA7FS92B.jpg" /></strong></span></a><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj04xoTuVxa_MpYaabG4ssxvKxpIMwoFGUniC1JEzV_i1UQ_niKBf1wVcXL7Hg-sBYTMNuboem6BF_3SYnHsbHuHpwOopP3lzH05TZ5lHLG1ejiGLOuRvL_xsBrx-ujxlvXwlkFnDIjSSZ5/s1600-h/imagesCAZ7235Q.jpg"><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 305px; DISPLAY: block; HEIGHT: 177px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431695130522787010" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj04xoTuVxa_MpYaabG4ssxvKxpIMwoFGUniC1JEzV_i1UQ_niKBf1wVcXL7Hg-sBYTMNuboem6BF_3SYnHsbHuHpwOopP3lzH05TZ5lHLG1ejiGLOuRvL_xsBrx-ujxlvXwlkFnDIjSSZ5/s320/imagesCAZ7235Q.jpg" /></strong></span></a><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br />สำหรับในประเทศไทย ผลการสำรวจพบว่าผู้สั่งสินค้าบนอินเทอร์เน็ตร้อยละ 40-60 ใช้บัตรเครดิต อีกร้อยละ 40 ใช้วิธีโอนเงินในบัญชี ซึ่งหมายความรวมถึง Direct Debit, Debit Card และ Fund Transfer เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบการชำระเงินบนอินเทอร์เน็ต มีแนวทางการพัฒนาเพื่อบริการชำระเงินดังนี้<br /><br /><span style="color:#3333ff;">1. บริการ internet banking และ/หรือธุรกิจประเภท Payment Gateway</span> จะเป็น hyperlink ระหว่าง website ของร้านค้ากับระบบของธนาคาร และธนาคารสามารถดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อตัดโอนเงินในบัญชีของลูกค้า หรือส่งเป็นคำสั่งโอนเข้าระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารที่มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน<br /><span style="color:#3333ff;">2. สำหรับการชำระเงินที่เป็น Micro Payment</span> การใช้เงินดิจิทัลซึ่งบันทึกบนบัตรสมาร์ตการ์ด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถสร้างเสริมระบบความปลอดภัยให้มั่นใจได้เหนือกว่าระบบบัตรเดบิตและบัตรเครดิตทั่วไป จึงเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสม<br /><br /><br /><span style="color:#6600cc;">แหล่งที่มาของข้อมูล</span><br /><br /><span style="color:#cc33cc;">http://guru.sanook.com/search/knowledge_search.php?q=E-Commerce+%28%A1%D2%C3%BE%D2%B3%D4%AA%C2%EC%CD%D4%E0%C5%E7%A1%B7%C3%CD%B9%D4%A1%CA%EC%29&select=1#5262<br />http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.ecommerce.or.th/newsletter/img/survey-june1.GIF&imgrefurl=http://www.ecommerce.or.th/newsletter/june2000.html&usg=__-xEROacu5jul5LkURtLOa4wJZZM=&h=300&w=294&sz=6&hl=th&start=12&sig2=cdO0qX6ohE-FN0lmj5Q0SQ&um=1&itbs=1&tbnid=jxYkP2mvNCH3pM:&tbnh=116&tbnw=114&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%259B%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2593%25E0%25B9%258C%25E0%25B9%2581%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2598%25E0%25B8%25B5%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25B3%2BE-commerce%26hl%3Dth%26rlz%3D1R2MOOI_enTH363%26sa%3DN%26um%3D1&ei=fT9hS_OVAtCLkAX3yomnDA<br /></span></strong></span></span><br /><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;"><strong>http://images.google.co.th/images?hl=th&rlz=1R2MOOI_enTH363&um=1&sa=1&q=%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%99+E-Commerce&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2&aq=null&oq=%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E+E-Commerce&start=0</strong></span>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-71563566297235118902010-01-27T23:12:00.000-08:002010-01-27T23:34:09.786-08:00ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ e-commerce<span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong><span style="font-size:130%;color:#006600;">ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ e-commerce </span></strong></span><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong><span style="font-size:130%;color:#006600;"><br /><br /></span></strong></span><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong><span style="font-size:130%;color:#006600;"></span></strong></span><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 203px; DISPLAY: block; HEIGHT: 152px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431689269180103970" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgh7ZOcMsPufkLguYX2m78rJcMc_HM21ooR6iRiSDIHAe0XvZOFL5ctrkVm8sEMn4FCUXqa9rRYjn2celLA-rD251BzgLW4Pcb1wwgj_qhyphenhypheng7PX3cZoCkG2FCGt647hYU63jbGpWZ6KmoAa/s320/imagesCAOMCZFR.jpg" /><br /><br />e-Business นั้น คือ การดำเนินกิจกรรมทาง “ธุรกิจ”ต่างๆ ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />การใช้คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้กระบวนการทางธุรกิจ มีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของคู่ค้า และลูกค้าให้ตรงใจ และรวดเร็วและเพื่อลดต้นทุน และขยายโอกาสทางการค้า และการบริการ เมื่อเข้าสู่ยุคดิจิทัลจะมีคำศัพท์ที่ได้ยินบ่อยๆ อาทิ<br /><br />BI=Business Intelligence:<br />การรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านตลาด ข้อมูลลูกค้า และ คู่แข่งขัน<br />EC=E-Commerce:<br />เทคโนโลยีที่ช่วยทำให้เกิดการสั่งซื้อ การขาย การโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต<br />CRM=Customer Relationship Management:<br />การบริหารจัดการ การบริการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้ลูกค้าพึงพอใจกับทั้งสินค้า บริการ และ บริษัท – ระบบ CRM จะใช้ไอทีช่วยดำเนินงาน และ จัดเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริการลูกค้า<br />SCM=Supply Chain Management:<br />การประสาน ห่วงโซ่ทางธุรกิจ ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค<br />ERP=Enterprise Resource Planning:<br />กระบวนการของสำนักงานส่วนหลัง และ การผลิต เช่น การรับใบสั่งซื้อการจัดซื้อ การจัดการใบส่งของ การจัดสินค้าคงคลัง แผนและการจัดการการผลิต– ระบบ ERP จะช่วยให้ประบวนการดังกล่าวมีประสิทธิภาพและลดต้นทุน<br /><br /><br /><span style="color:#3333ff;"><span style="font-size:130%;">E-Commerce คืออะไร</span><br /></span><br />E-Commerce มีชื่อที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์” โดยความหมายของคำว่าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ มีผู้ให้คำนิยามไว้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีคำจำกัดความใดที่ใช้เป็นคำอธิบายไว้อย่างเป็นทางการ ซึ่งมีดังนี้<br /><br />“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์, 2542)”<br /><br />“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์” (WTO, 1998)<br /><br />“พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กรและส่วนบุคคล บนพื้นฐานของ การประมวลและการส่งข้อมูลดิจิทัลที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ” (OECD, 1997)<br /><br />จากความหมายของ e-business กับ e-commerce จะเห็นได้ว่าสองคำนี้มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน แต่อันที่จริงแล้วมีความหมายต่างกัน<br />โดย e-business สรุปความหมายได้ว่าคือการทำกิจกรรมทุกๆอย่าง ทุกขั้นตอนผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีขอบเขตกว้างกว่า แต่ e-commerce จะเน้นที่การซื้อขายสินค้าและบริการผ่านเครือข่ายอินเทอร์เนตเท่านั้น<br />จึงสรุปได้ว่า e-commerce เป็นส่วนหนึ่งของ e-business<br /><br /><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#3333ff;">E-Commerce นิยามและความหมาย</span><br /></span><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong>Source - Department of Industrial Promotion (Th/Eng)<br />Wednesday, March 12, 2003 11:29<br />28176 XTHAI XECON XGOV XITBUS XLOCAL V%GOVL P%DIP<br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjM-Hgbe-V0E3ieYL_x-ppmS1p5o8rrW0wDF_pVRZvnCvdEQwSdiBkiPG_Wouc_TpVYFD6PAJrhRmV16nO9dhPolh1jaSajHkPJFyhTniytCUWOUyA9Ge-_GX_xTjG7q5_PpvIaWwN4Jyw_/s1600-h/imagesCA0K99BG.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 214px; DISPLAY: block; HEIGHT: 183px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431689889981897810" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjM-Hgbe-V0E3ieYL_x-ppmS1p5o8rrW0wDF_pVRZvnCvdEQwSdiBkiPG_Wouc_TpVYFD6PAJrhRmV16nO9dhPolh1jaSajHkPJFyhTniytCUWOUyA9Ge-_GX_xTjG7q5_PpvIaWwN4Jyw_/s320/imagesCA0K99BG.jpg" /></a><br /><br /><br /><br />ปัจจุบันคงจะไม่มีใครบอกว่าไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ E-Commerce มาเลยบางท่านที่เคยได้ยินแต่ไม่ได้สนใจถือว่าเป็นเรื่องไกลตัว อันที่จริง ท่านผู้รู้ได้กล่าวว่า ในอนาคต E-Commerce จะเข้ามาพลิกโฉมทางการค้าและเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของเรา และห้างสรรพสินค้าอาจจะไม่มีความจำเป็นแล้วเพราะต้องเสียเวลา และค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่จะหันมาใช้ห้างสรรพสินค้า E-Commerce ซึ่งกำลังเป็นที่ตื่นตัวกันอย่างมากในอเมริกา ดังนั้น เมื่อ E-Commerce มีบทบาทมากขนาดนี้ เราจะมองข้ามเสียไม่ได้<br />ความหมายของ E-Commerce<br />E-Commerce ย่อมาจาก Electronic Commerce หรือที่เรียกว่า พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การประกอบธุรกิจการค้าผ่านสื่ออีเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรสาร โทรทัศน์ หรือ คอมพิวเตอร์<br />ซึ่งเป็นช่องทางที่มีความสำคัญที่สุดในปัจจุบัน โดยมีระบบอินเตอร์เน็ตเป็นสือกลางในการเชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายให้สามารถทำการค้ากันได้<br /></strong></span><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong><span style="font-size:130%;color:#3333ff;">ประเภท และรูปแบบ<br /></span></strong></span><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong>E-Commerce สามารถแบ่งได้หลายลักษณะ ที่รู้จักกันทั่วไป มี 3 ประเภท คือ<br />B - To - C ย่อมาจาก Business to Business เป็นการซื้อขายสินค้าระหว่างธุรกิจด้วยกันเอง เช่น ผู้ผลิตขายส่งให้กับพ่อค้าคนกลางเป็นธุรกิจนำเข้า - ส่งออก ชำระเงินผ่านระบบธนาคารด้วยการเปิด L/C<br />B - To -C ย่อมาจาก Business to Consumer เป็นการขายปลีกให้กับผู้บริโภค ไม่ว่าลูกค้าจะอยู่ส่วนใดของโลกชำระเงินผ่านระบบบัตรเครดิต การขายแบบนี้จะเข้ามาแทนที่การขายแบบ Direct Mail<br />C - To - C ย่อมาจาก Consumer to Consumer เป็นการขายปลีกระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคหรือผู้ใช้อินเตอร์เน็ตด้วยกัน เช่น การขายซอฟต์แวร์ที่ตนพัฒนาขึ้นมา หรือการประมูลของที่ใช้แล้ว<br /><span style="color:#3333ff;"></span></strong></span><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong><span style="color:#3333ff;">ประโยชน์จาก E-Commerce<br /></span>สินค้าที่ต้องการจำหน่ายผ่านทางอินเตอร์เน็ตจะเป็นสินค้าที่รู้จักของผู้ซื้ออยู่แล้ว หรือสินค้าขายปลีกทั่วๆ ไป ที่ลูกค้าเลือกซื้อได้จากทุกมุมโลก เพียงแต่คลิกเม้าท์เท่านั้น เช่น ผู้จำหน่ายหนังสือ ของเล่นอุปกรณ์ไฟฟ้า สินค้าที่สะดวกในการขนส่ง เช่น ดอกไม้ประดิษฐ์ สินค้าส่งออกที่มีจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว สินค้าที่มีเอกลักษณ์ของไทย เช่นผ้าไหม สินค้าหัตถกรรมเซรามิค เครื่องประดับ ซึ่งใช้ E-Commerce จะประหยัดกว่าการทำธุรกิจแบบเดิม ที่ต้องส่งแคตาล๊อกไปให้ลูกค้าหรือไปเช่าบู๊ทในงานแสดงสินค้าในประเทศต่างค่าใช้จ่ายสูงมาก ถ้าสร้างเว็บไซต์บนอินเตอร์เน็ต ทำเป็นบูทถาวรที่ลูกค้าเข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือสินค้าที่สามารถส่งมอบทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ เช่น เพลง วิดีโอเกม ซีดีรอม เมื่อลูกค้าชำระเงินเรียบร้อยก็กาวน์โหลดสินค้าเหล่านั้นเข้าไปยังคอมพิวเตอร์ของตัวเองที่เชื่อมต่อกันกับอินเตอร์เน็ตหรือธุรกิจที่มีบริการขนส่งสินค้าของตนเองอยู่แล้ว เช่น ร้านเบเกอรี่ ร้านดอกไม้ ซึ่งลูกค้าอยู่ต่างประเทศสามารถส่งสินค้าถึงผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ หรือ เป็นธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยว เช่น จองตั๋วเรือบิน จองแพ็คเกจทัวร์ จองโรงแรม โดยผ่านระบบออนไลน์ เป็นต้น<br /><span style="color:#000099;"></span></strong></span><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong><span style="color:#000099;">เขาเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce ได้อย่างไร</span><br /><span style="color:#009900;">1. วิเคราะห์ดูว่าเรามีสินค้าอะไร</span> ใครคือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของเรา ซึ่งจะต้องเป็นผู้ใข้อินเตอร์เน็ตและเราจะเลือกทำธุรกิจ E-Commerce ในรูปแบบใดใน 3 แบบข้างต้น เพราะถ้าสินค้าที่เราขายไม่ใช่กลุ่มใช้อินเตอร์เน็ตก็หมายถึงตลาดไม่เหมาะสมกับกลุ่มนอกจากนั้นต้องวิเคราะห์คู่แข่งขัน ซึ่งหาข้อมูลคู่แข่งขันได้จาก Web Site ของคู่แข่ง แล้วเปิดเข้าไปดูว่าเขาจัดรูปแบบหน้าร้าน ตั้งราคาสินค้า การจัดส่งสินค้าการส่งเสริมการขาย ซึ่งเป็นกลยุทธ์การตลาดของคู่แข่งเรานำมาปรับใช้กับธุรกิจของเรา<br /><span style="color:#33cc00;">2. โฆษณาเผยแพร่สินค้าให้เป็นที่รู้จัก</span> โดยจัดทำเป็นอิเล็กทรอนิกส์ แคตาล๊อค อธิบายรายละเอียดสินค้าพร้อมคุณสมบัติของสินค้า บริการขนส่งในการซื้อขาย นโยบายการคืนสินค้าและคืนเงิน สกุลเงินที่ใช้ หรือลง ทะเบียนไว้ในระบบค้นหากับเว็บไซต์ทีมีชื่อเสียงเปิดให้บริการอยู่เป็นค่าใช้จ่ายที่ถูก และ สามารถแสดงภาพ 3 มิติ เคลื่อนไหวได้ มีบรรยายประกอบ เปิดให้ชมได้ 24 ชั่วโมง<br />ถ้าหากมีสินค้าหลายชนิด และประสบความสำเร็จในการขายบ้างแล้ว ก็อาจทำร้านค้าทางอินเตอร์เน็ต ด้วยการสร้าง Web Site ของตนเองโดยดำเนินการต่อไปนี้<br />1. จดทะเบียนชื่อร้าน หรือที่เรียกว่า Domain Name ซึ่งเท่ากับเสมือนยี่ห้อสินค้าของเราและสร้าง Web Site<br />2. เช่าพื้นที่เว็บไซต์โดยต้องคิดว่าถ้าขายออกต่างประเทศก็เช่าต่างประเทศ แต่ถ้าขายในประเทศก็เช่าในไทย<br />3. ติดตั้งระบบป้องกันข้อมูล และติดต่อธนาคารขอรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบชำระเงิน<br />4. โฆษณา Web Site ให้ลูกค้ารู้จัก โดยโฆษณาตาม Banner ของ Web Site ต่างๆ หรือลงทะเบียนไว้ในระบบค้นหาข้อมูลกับ Web Site ที่มีชื่อเสียงเช่น Yahoo, Altavista ฯลฯ<br />5. เตรียมติดต่อบริษัทขนส่งเพื่อส่งมอบสินค้า<br />6. ศึกษาแบบชำระเงิน ซึ่งอาจมีอยู่หลายวิธีดังนี้ ผ่านธนาคาร เช่น เปิด L/C สำหรับการส่งออกหรือชำระด้วยบัตรเครดิต ก็ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยในการชำระเงิน โดยหารือกับธนาคารต่างๆ<br />* ชำระเงินต่างระบบธนาคาร เช่น เปิด L/C สำหรับส่งออก<br />* ชำระด้วยบัตรเครดิต ก็ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยในการชำระเงิน โดยต้องหารือกับธนาคาร<br />* การโอนเงินเข้าบัญชี ซึ่งใช้กับผู้ซื้อของจำนวนมาก และไม่ต้องการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเนื่องจากกลัวไม่ปลอดภัย วิธีทำก็คือ เมื่อสั่งซื้อก็โอนเงินบัญชีผู้ขาย พร้อมส่งแพ็ค หรืออีเมลใบสั่งซื้อและใบเสร็จโอนเงินให้ผู้ขายแล้วผู้ขายก็จัดส่งสินค้ามาให้วิธีนี้ผู้ขายได้เปรียบ<br />* เงินสด ใช้บริการของบริษัทขนส่งสินค้าชั้นนำทั่วไป ให้ส่งสินค้าให้แล้วเก็บเงินปลายทางซึ่งผู้ซื้อยังไม่ต้องจ่ายเงินจนกว่าจะได้รับสินค้า วิธีนี้สะดวกกับผู้ซื้อ แต่ผู้ขายมีความเสี่ยง อาจถูกยกเลิกการซื้อ ทำให้ผู้ขายเสียค่าใช้จ่ายในการขนส่ง<br />* เซ็นเช็คจ่ายเงินผ่ายทางเว็บ คือ ใช้เช็คจ่ายเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยหลังซื้อสินค้าแล้วก็เลือกจ่ายเงินผ่านทางเช็ค ก็จะมีเช็คเปล่าให้เรากรอกรายละเอียดลงไป ถือว่าเสร็จเรียบร้อย วิธีนี้นิยมใช้เฉพาะอเมริกา<br />7. ต้องมีการปรับปรุงติดตามผลหลังจากการขายสินค้า หรือบริการ และเก็บเงินแล้ว มีหลายท่านคิดว่าเสร็จสิ้นการทำธุรกิจแบบ E- Commerce การคิดเช่นนั้นถือว่าเป็นความคิดที่ผิด อันที่จริงการทำธุรกิจ E - Commerce พึ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น ต้องมีการปรับปรุงร้านค้า หรือ Web Page ของเราอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งต้องมีบริการหลังการขาย เช่น ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในการขายสินค้านั้น หรือเปิดอีเมล์เพื่อให้ลูกค้าติ - ชม มีข้อเสนอแนะ ซึ่งเป็นช่องทางทำตลาดให้กับสินค้าตัวใหม่ และสร้างสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าเก่า<br />ลักษณะเด่นของ E-Commerce<br />1. เป็นการค้าที่ไร้พรมแดน ไม่มีการแบ่งทวีปหรือประเทศ ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องระยะทาง และการเดินทาง ท่านสามารถที่จะซื้อสินค้าจากร้านหนึ่ง และเดินทางไปซื้อสินค้าจากร้านอีกร้านหนึ่งซึ่งอยู่คนละทวีปกันได้ ในเวลาเพียงไม่กี่นาที<br />2. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายขนาดใหญ่ทั่วโลก ฐานผู้ซื้อขยายกว้างขึ้น<br />3. คุณสามารถทำการค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงและเปิดได้ทุกวันโดยไม่วันหยุด<br />4. คุณไม่มีความจำเป็นต้องจ้างพนักงานขายเพราะเจ้า E-Commerce จะทำการค้าแบบอัตโนมัติให้คุณ ไม่ต้องมีสินค้าคงคลังหรือมีก็น้อยมาก<br />5. คุณไม่มีความจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสร้างตึกแถว เพื่อใช้เป็นร้านค้า เพียงแค่สร้าง Web Site ก็เปรียบเสมือนร้านค้าของคุณแล้ว ไม่ต้องเสี่ยงกับทำเลที่ตั้งของร้านค้า<br />6. E-Commerce สามารถเก็บเงิน และนำเงินฝากเข้าบัญชี ให้คุณโดยอัตโนมัติ<br />อุปสรรคของการทำ E-Commerce<br />1. ความเสี่ยงจากการที่ยังไม่มีกฎหมายมารองรับการค้าแบบ E-Commerce เพราะฉะนั้นเราควรเขียนคำบรรยายถึงขอบเขตในการรับผิดชอบของเราทีมีต่อลูกค้าให้ชัดเจน เช่น ซื้อสินค้าแล้วไม่รับคืนก็ต้องแจ้งลูกค้าให้เข้าใจ<br />2. ไม่มีการกำหนดมาตรฐานในด้านภาษีเนื่องจากยังไม่มีกฎหมายมารองรับ<br />3. ปัญหาในการจัดส่งสินค้าที่ไม่สะดวกรวดเร็ว หรือสินค้าชำรุดเสียหาย ซึ่งได้แก่ พวกสินค้าที่เป็นของสด เช่น อาหาร หรือดอกไม้ สินค้าเหล่านี้ อาจเสียหาย หรือเสื่อมสภาพ เน่าเสีย จากระยะเวลา ในการขนส่งได้<br />4. ปัญหาจากการขนส่งสินค้าที่มีมูลค่าสูงเช่น อัญมณีต่างๆ บริษัทขนส่งมักจะไม่ยินดีที่จะรับส่งของเหล่านี้ เนื่องจากโอกาสสูญหายได้ง่าย<br />5. การทุจริตฉ้อโกง เช่น การปลอมบัตรเครดิต<br />6. ไม่แน่ใจผู้ขายเป็นผู้ประกอบการที่ปฎิษัติธุรกิจถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และน่าเชื่อถือเพียงใด<br />7. ทำสัญญาซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ตจะถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่<br />8. ผู้ขายยังไม่มั่นใจว่าตัวตนจริงของลูกค้าจะเป็นบุคคลคนเดียวกับที่แจ้งสั่งซื้อสินค้าหรือไม่ นั่นคือผู้ขายไม่มั่นใจว่า ผู้ซื้อมีความสามารถจ่ายเงินค่าสินค้าหรือบริการหรือไม่<br />ที่มา : หนังสือก้าวสู่ความเป็นผู้ประกอบการโดย กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม<br /><br /><br /><span style="color:#009900;">ประเภทของ E-Commerce</span><br /><br />ผู้ประกอบการ กับ ผู้บริโภค (Business to Consumer - B2C)<br />คือการค้าระหว่างผู้ค้าโดยตรงถึงลูกค้าซึ่งก็คือผู้บริโภค เช่น การขายหนังสือ ขายวีดีโอ ขายซีดีเพลงเป็นต้น<br /><br />ผู้ประกอบการ กับ ผู้ประกอบการ (Business to Business – B2B) คือการค้าระหว่างผู้ค้ากับลูกค้าเช่นกัน แต่ในที่นี้ลูกค้าจะเป็นในรูปแบบของผู้ประกอบการ ในที่นี้จะครอบคลุมถึงเรื่อง การขายส่ง การทำการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Management) เป็นต้น ซึ่งจะมีความซับซ้อนในระดับต่างๆกันไป<br /><br />ผู้บริโภค กับ ผู้บริโภค (Consumer to Consumer - C2C) คือการติดต่อระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภคนั้น มีหลายรูปแบบและวัตถุประสงค์ เช่นเพื่อการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร ในกลุ่มคนที่มีการบริโภคเหมือนกัน หรืออาจจะทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเอง ขายของมือสองเป็นต้น<br /><br />ผู้ประกอบการ กับ ภาครัฐ (Business to Government – B2G)<br />คือการประกอบธุรกิจระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐ ที่ใช้กันมากก็คือเรื่องการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ หรือที่เรียกว่า e-Government Procurement ในประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์แล้ว รัฐบาลจะทำการซื้อ/จัดจ้างผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เช่นการประกาศจัดจ้างของภาครัฐในเว็บไซต์ www.mahadthai.com<br /><br />ภาครัฐ กับ ประชาชน (Government to Consumer -G2C)<br />ในที่นี้คงไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อการค้า แต่จะเป็นเรื่องการบริการของภาครัฐผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยเองก็มีให้บริการแล้วหลายหน่วยงาน เช่นการคำนวณและเสียภาษีผ่านอินเทอร์เน็ต, การให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นต้น เช่นข้อมูลการติดต่อการทำทะเบียนต่างๆของกระทรวงมหาดไทย ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบว่าต้องใช้หลักฐานอะไรบ้างในการทำเรื่องนั้นๆ และสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มบางอย่างจากบนเว็บไซต์ได้ด้วย<br /><br /><br /></strong></span><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZpyXKssYG5RTTY3dMHoJxW-NX4IQdlnZ07VThzIXmoTN5ReN9MQYnpD5ilBC9hpFsYdM8ASHfuNCIR3KATv2WB2iXFVKg02fTocH6ezusORdkPF-Kx-x2XatQEk43Iid7SnJ-RwgC_5rs/s1600-h/benefit.gif"><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431686153339381586" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhZpyXKssYG5RTTY3dMHoJxW-NX4IQdlnZ07VThzIXmoTN5ReN9MQYnpD5ilBC9hpFsYdM8ASHfuNCIR3KATv2WB2iXFVKg02fTocH6ezusORdkPF-Kx-x2XatQEk43Iid7SnJ-RwgC_5rs/s320/benefit.gif" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:100%;color:#cc0000;"><strong><br /><br /><br /><br /><br /><span style="color:#3333ff;">แหล่งที่มาของข้อมูล</span><br /><br />http://www.thaiecommerce.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=538636758&Ntype=6<br />http://www.ecommerce.or.th/project/e-guide/index.html<br />: e-Commerce FAQ คำถามนี้มีคำตอบ โดยศูนย์พัฒนาอิเล็กทรอนิกส์ หน้า 19-20<br />: หนังสือ e-commerce คู่มือประกอบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หน้า 36-38<br />http://www.thaiwbi.com/topic/E-Ecommerce<br />http://202.28.94.55/webclass/pub-lesson.cs?storyid=278<br /><br /><br /></strong></span>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-74342906912634321992010-01-27T22:46:00.000-08:002010-01-27T22:57:34.185-08:00ภาพงานวันครู<embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="300" height="300" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fjintanachai127%2Falbumid%2F5431680152738863217%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"></embed>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-81844138544972135642010-01-27T21:59:00.000-08:002010-01-27T22:01:47.576-08:00ภาพงานปีใหม่ 2010 กทม.<embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="288" height="192" flashvars="host=picasaweb.google.com&captions=1&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fjintanachai127%2Falbumid%2F5429077598996910017%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"></embed>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-15464079396474805092010-01-27T20:42:00.000-08:002010-01-27T22:45:49.854-08:00งานวันครู 2553<span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong> <a href="http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/810/11810/images/logopostcard.gif&imgrefurl=http://www.oknation.net/blog/naiman/2010/01/11/entry-2&usg=__QIj4JPhf3YmtXDL_pewPSjACbkU=&h=373&w=520&sz=97&hl=th&start=16&sig2=G_prhIYTttOff5nvIMZVeA&um=1&itbs=1&tbnid=8lAebPl96e_9rM:&tbnh=94&tbnw=131&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B9%2B2553%26hl%3Dth%26rlz%3D1R2MOOI_enTH363%26sa%3DN%26um%3D1&ei=UzBhS4HNOsyHkAXgq4i1DA"><span style="color:#ff0000;"> งานวันครู 16 มกราคาม 2553</span> </a><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNwnXtDxpzOKiTQunWaJOe0RIJ2Ggq-7ChBnIalWtkWnc117TxXE6bqZ6RheEtFK7FQEjoR06Uzvmx9CbieRwRthCJqmHh-Dogr_P7S9hH1DLAcdnYr7uDn7IhxryyMcN6jFWDPlo4_njw/s1600-h/logopostcard.gif"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 230px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431668882986265186" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgNwnXtDxpzOKiTQunWaJOe0RIJ2Ggq-7ChBnIalWtkWnc117TxXE6bqZ6RheEtFK7FQEjoR06Uzvmx9CbieRwRthCJqmHh-Dogr_P7S9hH1DLAcdnYr7uDn7IhxryyMcN6jFWDPlo4_njw/s320/logopostcard.gif" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /><span style="color:#ff0000;">ความหมาย ของคำว่าครู</span><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-pEPZRlbb_fyaMDIrBgoLNdsy4sW4bonzl6sdNgzpLzoOgHmNs1hRq2Kb-0pgcBlCDpl_tIpWGmomE9_lh-rmUUDTOFYviccIP8c7JGVe0eq_1zcFGxkyOf58nbygbkfPVkTRFAFyaiRr/s1600-h/images.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 120px; DISPLAY: block; HEIGHT: 120px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431669171937415874" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-pEPZRlbb_fyaMDIrBgoLNdsy4sW4bonzl6sdNgzpLzoOgHmNs1hRq2Kb-0pgcBlCDpl_tIpWGmomE9_lh-rmUUDTOFYviccIP8c7JGVe0eq_1zcFGxkyOf58nbygbkfPVkTRFAFyaiRr/s320/images.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /> ความหมาย ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน; ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ<br /><br /><span style="color:#cc0000;">ประวัติความเป็นมา<br /><br /></span> วันครูได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภาเป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษา ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครูและครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้และความสามัคคีของครู ด้วยเหตุนี้ในทุก ๆ ปี คุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภาเป็นผู้ตอบข้อสงสัยสถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติมศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนึ่งสำหรับให้บันดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ได้แสดงความเคารพสักการะต่อบรรดาครูผู้มีพระคุณทั้งหลาย เพราะเหตุว่าสำหรับคนทั่วไปถ้าถึงวันตรุษ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง” จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความคิดเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ประชุมคุรุสภาสามัญประจำปีจึงได้พิจารณาเรื่องนี้และมีมติเห็นควรให้มีวันครูเพื่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพาจารย์ ส่งเสริมสามัคคีธรรมระหว่างครูและเพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกันประชาชน ในที่สุดคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ให้วันที่ ๑๖ มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดยเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นวันครูและให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าวได้<br /><br /><span style="color:#ff0000;">ดอกไม้ที่ใช้ในการไหว้ครู<br /></span>ในพิธีไหว้ครูนับตั้งแต่สมัยก่อน จะใช้ดอกไม้หลัก 3 อย่างในการทำพาน ซึ่งดอกไม้ ความหมายในการระลึกคุณครู ได้แก่<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj18B0B9XQ6qT8KabpzMTpcTDnazU_4x3vLsjusfQbrjQ49CRFDwXOpOOH4i3N3jLh0Ly4jRbcgvCWZ0gHQ0V0ZKuDKSS-6suKkKLuNd72JIz65hEuXgCN7OwSjrgNQ6cvWdU2czl9Ts0YD/s1600-h/prag.gif"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 168px; DISPLAY: block; HEIGHT: 117px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431674720099307442" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj18B0B9XQ6qT8KabpzMTpcTDnazU_4x3vLsjusfQbrjQ49CRFDwXOpOOH4i3N3jLh0Ly4jRbcgvCWZ0gHQ0V0ZKuDKSS-6suKkKLuNd72JIz65hEuXgCN7OwSjrgNQ6cvWdU2czl9Ts0YD/s320/prag.gif" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /><span style="color:#cc0000;">หญ้าแพรก</span> สื่อถึง ขอให้เรียนได้เร็วเหมือนหญ้าแพรก ที่โตได้เร็วและทนต่อสภาพดินฟ้า อากาศ ทนต่อการเหยียบย่ำ ซึ่งเปรียบ<br />เสมือน คำดุด่าของครูบาอาจารย์<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdY6O69G7OEC91lx5LYicaFDVIAGCkqEtbc9sru4Yfj1NWq8dkDgnFTW1WeYFJDOjJ_yGniBIYijLXWXq4ygxKLb8CuUc3crIla-Nb1q_j382U4bnIYzlEAFEWYNw8GP0qxv17iwbzw4Sq/s1600-h/kem.gif"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 217px; DISPLAY: block; HEIGHT: 149px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431674947821885042" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdY6O69G7OEC91lx5LYicaFDVIAGCkqEtbc9sru4Yfj1NWq8dkDgnFTW1WeYFJDOjJ_yGniBIYijLXWXq4ygxKLb8CuUc3crIla-Nb1q_j382U4bnIYzlEAFEWYNw8GP0qxv17iwbzw4Sq/s320/kem.gif" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /><span style="color:#ff0000;">ดอกเข็ม</span> สื่อถึง ขอให้มีสติปัญญาเฉียบแหลม เหมือนชื่อของดอกเข็ม<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjs4h_ZSy3zXKNM0WJ8zArd6FTuz-abD1D4dH0KdgBNW67Jjm3JkBKAplKtlchRYrbQmn6Lmflfi8jG3DkRLVoYPoWRBDWgKj_rzWnPivT78IuwxsOSiXWv0ym5MInqkON4yLEzjJnxTTvN/s1600-h/ma-kua.gif"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 217px; DISPLAY: block; HEIGHT: 148px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431675108876833426" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjs4h_ZSy3zXKNM0WJ8zArd6FTuz-abD1D4dH0KdgBNW67Jjm3JkBKAplKtlchRYrbQmn6Lmflfi8jG3DkRLVoYPoWRBDWgKj_rzWnPivT78IuwxsOSiXWv0ym5MInqkON4yLEzjJnxTTvN/s320/ma-kua.gif" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /><span style="color:#ff0000;">ดอกมะเขือ</span> สื่อถึง การเปรียบเทียบว่า มะเขือนั้น จะคว่ำดอกลงเสมอเมื่อจะออกลูก แสดงถึง นักเรียนที่จะเรียนให้ได้ผลดีนั้นต้องรู้จักอ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคนสุภาพเรียบร้อย เหมือนมะเขือที่โน้มลง<br /><span style="color:#ff0000;">ข้าวตอก</span> เนื่องจากข้าวตอกเกิดจากข้าวเปลือกที่คั่วด้วยไฟอ่อนๆ ให้ร้อนเสมอกันจนถึงจุดหนึ่งที่เนื้อข้างในขยายออก จนดันเปลือกให้แยกออกจากกัน ได้ข้าวสีขาวที่ขยายเม็ดออกบาน ซึ่งสามารถนำไปประกอบพิธีกรรม หรือทำขนมต่างๆได้ ดังนั้น ข้าวตอกจึงเป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย หากใครสามารถทำตามกฎระเบียบ เอาชนะความซุกซนและความเกียจคร้านของตัวเองได้ ก็จะเหมือนข้าวตอกสีขาวที่ถูกคั่วออกจากข้าวเปลือก<br /><br /><span style="color:#ff0000;">วิธีจัดงาน</span><br /><br />การพิธีไหว้ครู ตามแบบที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ จะต้องเตรียมสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้<br /><br /><span style="color:#ff0000;">สถานที่<br /></span><br />โต๊ะหมู่บูชา โดยตั้งไว้ที่สูงบนเวทีชิดด้านหลัง ข้างหน้ามีกระถางดอกไม้และธูปเทียน และ โต๊ะ เพื่อว่างพานดอกไม้และธูปเทียนที่นำมาบูชา<br />หนังสือ เพื่อให้ประธานเจิม โดยเอาหนังสือวางไว้บนพาน บนโต๊ะเล็กหน้าที่บูชา<br />ที่นั่งประธาน และ คณาจารย์ จัดไว้ข้างๆ ที่บูชา<br />ที่นั่งสำหรับนั่งเรียน<br /><br /><span style="color:#cc0000;">สิ่งที่ต้องเตรียมในการไหว้ครู<br /></span>พานดอกไม้ ประกอบด้วยพืชชนิดต่าง ๆ เช่น หญ้าแพรก (หมายถึง การเจริญงอกงามของสติปัญญา) ดอกมะเขือ (หมายถึง การอ่อนน้อมถ่อมตน) ดอกเข็ม (หมายถึง เฉลียวฉลาด) จะใส่เท่าไรก็ตามให้สวยงาม พอควร<br />ธูปเทียน<br /><br /><span style="color:#ff0000;">พิธีการ</span><br />- เมื่อประธานมาถึง ให้กราบทำความเคารพ จนกว่าคุณครูทุกท่านจะผ่านไปหมดทุกคน<br />-ให้ประธานจุดธูปเทียน นมัสการพระพุทธรูปที่แท่นหมู่บูชา<br />- เริ่มพิธีโดยการสวดมนต์ ตามด้วยเจิมหนังสือเพื่อความเป็นสิริมงคล<br />-หลังจากนั้นกล่าวคาถาไหว้ครู และวรรคแรกของคำไหว้ครู<br />-เมื่อกล่าวคำไหว้ครูเสร็จแล้ว ให้ว่าคาถาไหว้ครูตอนท้าย<br />-ตัวแทนนักเรียนกล่าวคำปฏิญาณตน<br />-ให้ตัวแทนของแต่ละห้องนำพานไปให้คุณครูแต่ละท่าน<br /><br /><br /><span style="color:#ff0000;">การจัดงานวันครู<br /></span><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzisZWrbnhR_0Wb9MZeI64q3pKoWT0q0XzOw1W_Il_lFAEAotcc9ANO94xa2nEYCIpaKSLp_E4BVaGn9LW6TN2jjDT_Lq6DQu_OsMg0oP_FYkdoRuB9EHv7x0k8TOnID3XO5lk6CJMIsx4/s1600-h/%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%94.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 132px; DISPLAY: block; HEIGHT: 99px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431675457897860562" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzisZWrbnhR_0Wb9MZeI64q3pKoWT0q0XzOw1W_Il_lFAEAotcc9ANO94xa2nEYCIpaKSLp_E4BVaGn9LW6TN2jjDT_Lq6DQu_OsMg0oP_FYkdoRuB9EHv7x0k8TOnID3XO5lk6CJMIsx4/s320/%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%80%E0%B8%94.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /> การจัดงานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๐ ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน งานวันครูนี้ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญคือ หนังสือประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ<br />การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรม ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลา ในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครู จะมีกิจกรรม ๓ ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้<br />1. กิจกรรมทางศาสนา<br />2. พิธีรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตน การกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์<br />3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬาหรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น<br />ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่งประเทศ สำหรับในส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอก็ได้<br /> รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการจัดงานวันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์ หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรี เสร็จแล้วพิธีบูชาบูรพาจารย์โดยครูอาวุโสนอกประจำการจะเป็นผู้กล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงประคุณบูรพาจารย์<br /><br /><span style="color:#ff0000;">มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู<br /></span>1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ<br />2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น<br />3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้<br />4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู<br />5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา<br />6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อมนุษย์ชาติ<br />7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน<br />8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ<br />9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและของสถานศึกษา<br />10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน<br /><br /><span style="color:#ff0000;">คำปฏิญาณตนของครู</span><br />ข้อ 1. ข้าจะบำเพ็ญตนให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู<br />ข้อ 2. ข้อจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ<br />ข้อ 3. ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครูและบำเพ็ญตนให้เป็น<br /><br /><span style="color:#ff0000;">บทสวดเคารพครูอาจารย์<br /></span><br />คาถา ปาเจราจริยา โหนฺติ คุณุตฺตรานุสาสกา (วสันตดิลกฉันท์)<br />(สวดนำ) ปาเจราจริยา โหนติ<br />(รับพร้อมกัน) คุณุตฺตรานุสาสกา<br />ข้าขอประนมกระพุ่ม อภิวาทนาการ<br />กราบคุณอดุลคุรุประทาน หิตเทิดทวีสรร<br />สิ่งสมอุดมคติประพฤติ นรยึดประครองธรรม์<br />ครูชี้วิถีทุษอนันต์ อนุสาสน์ประภาษสอน<br />ให้เรืองและเปรื่องปริวิชาน นะตระการสถาพร<br />ท่านแจ้งแสดงนิติบวร ดนุยลยุบลสาร<br />โอบเอื้อและเจือคุณวิจิตร ทะนุศิษย์นิรันดร์กาล<br />ไปเปื่อก็เพื่อดรุณชาญ ลุฉลาดประสาทสรรพ์<br />บาปบุญก็สุนทรแถลง ธุระแจงประจักษ์ครัน<br />เพื่อศิษย์สฤษฎ์คตจรัล มนเทิดผดุงธรรม<br />ปวงข้าประดานิกรศิษ (ษ) ยะคิดระลึกคำ<br />ด้วยสัตย์สะพัดกมลนำ อนุสรณ์เผดียงคุณ<br />โปรดอวยพรสุพิธพรอเนก อดิเรกเพราะแรงบุญ<br />ส่งเสริมเฉลิมพหุลสุน- ทรศิษย์เสมอเทอญฯ<br />ปญญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ<br /><br /><span style="color:#ff0000;">ครูสร้างคน สร้างชาติ ด้วยศาสน์ศิลป์ ทั่วแผ่นดิน ศรัทธาบูชาครู<br /></span><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgglik8okRswxcpl9fq8MrPjhWCmbCXnN6Bvmsvx_K5TTqZFWTyaSV-vUH7B9m9cAtaTl_1jCMpp-tZnlAFdoRJGUKnacV9Io0cnkr6yi5kfjPBIh2sQGsrV_1VkzEvVS4rfXbOTaptQd7j/s1600-h/%E0%B8%9E%E0%B9%84%E0%B8%9E.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431647928440561634" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgglik8okRswxcpl9fq8MrPjhWCmbCXnN6Bvmsvx_K5TTqZFWTyaSV-vUH7B9m9cAtaTl_1jCMpp-tZnlAFdoRJGUKnacV9Io0cnkr6yi5kfjPBIh2sQGsrV_1VkzEvVS4rfXbOTaptQd7j/s320/%E0%B8%9E%E0%B9%84%E0%B8%9E.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjj8KixJSxntk-KtmDrX7xiFRpk0ggoEzAWOtq16sJQPrRpiJwoUcK8mbVaTSxtfuaU8XXW4O7ROWTXoXbDFfoVJnp_t-0DjiN1E8V_GZ1MLGOoXjHmwbSoVbU0jwKWUJKVJQ2tEkLj2fDG/s1600-h/%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B9%84.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431648206196034882" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjj8KixJSxntk-KtmDrX7xiFRpk0ggoEzAWOtq16sJQPrRpiJwoUcK8mbVaTSxtfuaU8XXW4O7ROWTXoXbDFfoVJnp_t-0DjiN1E8V_GZ1MLGOoXjHmwbSoVbU0jwKWUJKVJQ2tEkLj2fDG/s320/%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B9%84.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /><br />และเนื่องในโอกาสวันครู วันที่ ๑๖ มกราคม ได้เวียนมาบรรจบ นายประหยัด ยะคะนอง ปลัดจังหวัดเพชรบุรี นายครองศักดิ์ แย้มประยูร ประธานคณะกรรมการอาชีวศึกษาจังหวัดเพชรบุรี พร้อมเหล่าบรรดาครูจาก วิทยาลัยเทคนิคเพชรบุรี , วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีเพชรบุรี , วิทยาลัยอาชีวศึกษาเพชรบุรี , วิทยาลัยการอาชีพบ้านลาด , วิทยาลัยการอาชีพเขาย้อย และวิทยาลัยสารพัดช่างเพชรบุรี จำนวน ๔๕๐ คน ที่จัดการศึกษาสายอาชีพในระดับ ปวช. , ปวส. และหลักสูตรระยะสั้นหลากหลาย ได้รวมตัวกัน ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษา เพื่อร่วมน้อมรำลึกถึงพระคุณของครู – อาจารย์ทั้งที่ล่วงลับไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ที่ได้อบรมสั่งสอน ถ่ายทอดความรู้ในด้านต่างๆไม่ว่าจะเป็นภาษา การทำมาหากิน ขนบธรรมเนียมประเพณี ให้กับคนรุ่นหลังเสมือนเป็นพ่อแม่คนที่สอง ที่ได้ประสิทธิ์ ประสาทวิชา จนสามารถประกอบอาชีพและสานต่อเจตนารมณ์<br /><br /><span style="color:#cc0000;">ศิษย์น้อมรำลึกพระคุณครู</span><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgc9i8LdXprvx26rTW87dkbWgDR7N1pTNS_Z9wQAHs5HNppbT45MUiVDDG8GShHqsJX8P5RmQwwAXSX0Hm3IXIjMo0Sb6g935g6UX9w6emhenV9L4JUYwVf99rzUew9lmJ9C_h2-YvjIliW/s1600-h/%E0%B8%9E%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%80.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 239px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431648449664046002" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgc9i8LdXprvx26rTW87dkbWgDR7N1pTNS_Z9wQAHs5HNppbT45MUiVDDG8GShHqsJX8P5RmQwwAXSX0Hm3IXIjMo0Sb6g935g6UX9w6emhenV9L4JUYwVf99rzUew9lmJ9C_h2-YvjIliW/s320/%E0%B8%9E%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B9%80.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8WR6QEHY5a4bqYpzaQyQv1wY7-0KflokvALbUp6ihaHQZ_J6zJ7S37GPitQfiEK7QqCQgCtfnX_bJHilWTv6h1168ESsERJ-sefS0704-kJ_hWKiWD-lbj99GjFrDfZFdZzo0wSSV-Mlo/s1600-h/%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%9E.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 120px; DISPLAY: block; HEIGHT: 90px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431648619723469970" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh8WR6QEHY5a4bqYpzaQyQv1wY7-0KflokvALbUp6ihaHQZ_J6zJ7S37GPitQfiEK7QqCQgCtfnX_bJHilWTv6h1168ESsERJ-sefS0704-kJ_hWKiWD-lbj99GjFrDfZFdZzo0wSSV-Mlo/s320/%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%9E.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzGu9GgCWU2uj9vmT2UFFOsYcgTvYJA95SWEmSw599vfy96BjG_Hw_xGrJl9bnHwynSgxlAUCAgF4OT_UWmI5X8EmGIBLqk41eBXV91t-xJc_RxAblzY6RfyJwmxgQo6KLIDbXq9v8FTPK/s1600-h/images.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 116px; DISPLAY: block; HEIGHT: 95px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431648944059065394" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgzGu9GgCWU2uj9vmT2UFFOsYcgTvYJA95SWEmSw599vfy96BjG_Hw_xGrJl9bnHwynSgxlAUCAgF4OT_UWmI5X8EmGIBLqk41eBXV91t-xJc_RxAblzY6RfyJwmxgQo6KLIDbXq9v8FTPK/s320/images.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><br /><br />แต่เดิมไทยเราเริ่มมีพิธีไหว้ครูทางช่าง นาฏศิลป์ ดนตรี ศิลปะวิทยาการต่างๆมาก่อน โดยผู้จะมาศึกษาเล่าเรียนจะนำดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาครู เป็นการฝากตัวเป็นศิษย์เป็นครูต่อกัน อีกทั้งยังเป็นสิริมงคลต่อศิษย์ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมไทยที่งดงาม และถือปฏิบัติสืบต่อมา โดยถือเอาวันพฤหัสบดีสัปดาห์ที่สองในเดือนมิถุนายน ของทุกปี เป็นวันไหว้ครูซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 10 มิถุนายน บรรดานักเรียนต่างก็นำหญ้าแพรก ข้าวตอก ดอกมะเขือ ดอกเข็มและอื่น ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความหมายมาประดิษฐ์ตกแต่ง แล้วนำไปมอบให้ครู อาจารย์ ในพิธีไหว้ครูที่ทางสถานศึกษาได้จัดขึ้น อาทิ โรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี ที่นักเรียนต่างร่วมใจประดิษฐ์พานดอกไม้ธูปเทียน และนำไม้ประดับต่างๆที่มีความหมายมามอบให้ครู ซึ่งภายหลังจากจบพิธีไหว้ครูแล้วจะได้นำต้นไม้ดังกล่าวไปปลูกไว้ในบริเวณโรงเรียน เพื่อสร้างความสวยงาม เช่นเดียวกับที่โรงเรียนปริยัติรังสรรค์ ที่ได้ให้โอกาสนักเรียนกว่า 3,000 คน ได้กราบไหว้หลวงพ่อพระศรีพัชราจารย์ หลวงพ่อบุตร ผู้ก่อตั้งโรงเรียนขึ้นมาเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิต สำหรับงานวันครูนั้นจัดขึ้นเพื่อให้ปวงศิษย์ได้น้อมรำลึกถึงพระคุณของครูอาจารย์ที่สั่งสอนอบรม ให้มีความรู้ในด้านต่างๆตลอดจนสอนให้ยึดมั่นอยู่ในคุณงามความดีมีศีลธรรม<br /><br /><span style="color:#ff0000;">แหล่งที่มาของข้อมูล</span><br /><br />http://www.thai-school.net/view_activities.php?ID=70914<br />http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9<br />http://www.yupparaj.ac.th/special/meaning/meaning.htm<br />http://www.ssrw.ac.th/loei3/loei3_1/<br />http://images.google.co.th/imgres?imgurl=http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/810/11810/images/logopostcard.gif&imgrefurl=http://www.oknation.net/blog/naiman/2010/01/11/entry-2&usg=__QIj4JPhf3YmtXDL_pewPSjACbkU=&h=373&w=520&sz=97&hl=th&start=16&sig2=G_prhIYTttOff5nvIMZVeA&um=1&itbs=1&tbnid=8lAebPl96e_9rM:&tbnh=94&tbnw=131&prev=/images%3Fq%3D%25E0%25B8%25A0%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25B4%25E0%25B8%2588%25E0%25B8%2581%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25A1%25E0%25B8%25A7%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2599%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B9%2B2553%26hl%3Dth%26rlz%3D1R2MOOI_enTH363%26sa%3DN%26um%3D1&ei=UzBhS4HNOsyHkAXgq4i1DA</strong></span>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-13885808252494044902010-01-20T23:12:00.000-08:002010-01-27T22:03:32.440-08:00ข้อมูลสถานที่ที่จัดงาน happy new year 2010<div align="left"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong> <span style="color:#000099;"> สถานที่ที่จัดงาน happy new year 2010 ของจังหวัดกรุงเทพมหานคร<br /></span><span style="color:#009900;"><br /> สถานที่เคาต์ดาวน์ ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่..ปี 2010<br /><br /></span><br /><br /><span style="color:#000099;">สถานที่จัดงาน</span> : บริเวณลานน้ำพุ ด้านนอกของคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ ถนนรางน้ำ กรุงเทพมหานคร<br /><br /></div></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgweC11qAfmV-HdCTEd7bdLTINMr4vsRGVsscjFZE4fgJt17FA_uZaez9coN8bDfDWU7KvOUyvoO-i19QnbddKHkxlRTgC3jcgvoMZK4FKNKz88zOEjqH19lKP6DLx7pXB9SKYk__UwGslO/s1600-h/3624-3.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429088703438473090" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgweC11qAfmV-HdCTEd7bdLTINMr4vsRGVsscjFZE4fgJt17FA_uZaez9coN8bDfDWU7KvOUyvoO-i19QnbddKHkxlRTgC3jcgvoMZK4FKNKz88zOEjqH19lKP6DLx7pXB9SKYk__UwGslO/s320/3624-3.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />โชว์แสง สี เสียง 3 มิติ ในคอนเซปต์ The Enchanted Voyage of the World ที่โดดเด่นด้วยเทคนิค interactive ครั้งแรกของเมืองไทย ไฮไลท์เด่นของการแสดงชุดนี้อยู่ที่การพาผู้ชมโลดแล่นไปสู่โลกแห่งจินตนาการ เดินทางท่องไปยังสถานที่ต่างๆ ตามเส้นทางธรรมชาติอันเลื่องชื่อในทั่วทุกมุมโลก มากกว่า 20 เส้นทาง<br /><br /><span style="color:#000099;">กิจกรรมนับถอยหลัง ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553</span> ย่านราชประสงค์ @Central World<br />ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม 2552 - 1 มกราคม 2553 ในเขตกรุงเทพมหานคร<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8bOtNDmEIM8a-Dcv6pZLsdygOxMrgz_gTcCp9Gm-nn_zmzFsaOzLzIFnZhdqID1TI3MFxK05F6lz5CPtKfRRUGG1PHtxyULzpm7CJ17SvjHsAtYinJ4VfZSv-qUS2SFP_26c2ZMxM_dga/s1600-h/3625-2553_central_world.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429089159337770434" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi8bOtNDmEIM8a-Dcv6pZLsdygOxMrgz_gTcCp9Gm-nn_zmzFsaOzLzIFnZhdqID1TI3MFxK05F6lz5CPtKfRRUGG1PHtxyULzpm7CJ17SvjHsAtYinJ4VfZSv-qUS2SFP_26c2ZMxM_dga/s320/3625-2553_central_world.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br /><br />“ ขอพรช้างเอราวัณ สุขสันต์ COUNTDOWN 2010 ”<br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiM9DG1ErefhkH8cn_4ONF6uEYKhK_XsveajfcBsjCYvKqa1GRerqiQN5BcY7i8Mqct9ROnXNafiIerb-oW10JVftjF6uGAonbaX47LQVrz0sgF08vGwwGD7RFiaSz3GBuL-9LlP2xlctIW/s1600-h/E76121.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 214px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429090486432093794" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiM9DG1ErefhkH8cn_4ONF6uEYKhK_XsveajfcBsjCYvKqa1GRerqiQN5BcY7i8Mqct9ROnXNafiIerb-oW10JVftjF6uGAonbaX47LQVrz0sgF08vGwwGD7RFiaSz3GBuL-9LlP2xlctIW/s320/E76121.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />ขอพรช้างเอราวัณ สุขสันต์ Countdown 2010<br />วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป<br />สถานที่จัดงาน : พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ จ.สมุทรปราการ<br />ชมการประกวดร้องเพลงลูกทุ่ง, ลิเกพื้นบ้าน, การแสดงมายากล, chill out กับดนตรีในสวนบรรยากาศ Winter Love Song, เลือกซื้อสินค้ามากมายบนถนนคนเดิน, ดูงานศิลปะฝีมืออาร์ตติส เมืองปากน้ำ พิเศษสุด… หางบัตรชิงของรางวัลและเงินสดรวมมูลค่ากว่า 50,000 บาท<br /><br />แอ่วเหนือ-ขึ้นอีสาน-ล่องใต้ ไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่แบบอินเทรนด์<br />เทศกาลปีใหม่นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ที่หลายๆ ครอบครัวเฝ้ารอเพื่อจะข้ามคืนสุดท้ายของปีเก่า เข้าสู่ศักราชใหม่ไปอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน และคงจะดีไม่น้อย หากได้เปลี่ยนบรรยากาศไป countdown ในสถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่ ร่วมกับญาติพี่น้อง หรือเพื่อนสนิท พร้อมทั้งสูดอากาศเย็นสดชื่นให้ฉ่ำปอด ผ่อนคลายสายตาจากความเหนื่อยล้ามาตลอดปีกับธรรมชาติเขียวขจีและบริสุทธิ์ ท่ามกลางขุนเขาในภาคเหนือ - อีสาน หรือจะเยือนถิ่นตะวันออก - ล่องแดนใต้ หลบความวุ่นวายไปติดเกาะ แหวกว่ายทักทายฝูงปลา-ปะการัง และพักผ่อนบนชายหาดสวยงามอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ก็ถือว่าเป็นไอเดียเคาท์ดาวน์ที่เก๋ไก๋ไปอีกแบบ โอกาสนี้ เราขอแนะนำแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติฮอตฮิตทั่วไทย ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปฉลองปีใหม่กันมากที่สุด 10 อันดับค่ะ<br /><br /><br />1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เชียงใหม่<br />2. ปาย แม่ฮ่องสอน<br />3. ภูชี้ฟ้า เชียงราย<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLLXvhT4cSOb20vuXHWpdTuutZbDKKzIU8Z9TGSfN7TLZIadceEYIAesKdnBSjZxaVej8wdd6bwQJzZ0i2hsOQG2BUxdjNhfvMuAHVceTP3MwfujjA8YYAWBCv-MW2IMuGT_3a0jRdV6gD/s1600-h/3627-attachment.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429091630467371090" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLLXvhT4cSOb20vuXHWpdTuutZbDKKzIU8Z9TGSfN7TLZIadceEYIAesKdnBSjZxaVej8wdd6bwQJzZ0i2hsOQG2BUxdjNhfvMuAHVceTP3MwfujjA8YYAWBCv-MW2IMuGT_3a0jRdV6gD/s320/3627-attachment.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />4. ผาแต้ม อุบลราชธานี<br />5. มอหินขาว ชัยภูมิ (1 ในแคมเปญ 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน)<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQvMSifXit5tA0PEr23Hh67cuI47tJbM8nYL4q_O7aGqcbi1IrhF0jZ7DWDdWOa3Wo6qBtoqPhwsnvdnVT5CcZW_mjflpbqs-UIwAcYAmQiQHXr2f8tmi06lItfYVvmZ6gLrYnPj7AtX3M/s1600-h/3628-attachment.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 318px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431632024398616786" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQvMSifXit5tA0PEr23Hh67cuI47tJbM8nYL4q_O7aGqcbi1IrhF0jZ7DWDdWOa3Wo6qBtoqPhwsnvdnVT5CcZW_mjflpbqs-UIwAcYAmQiQHXr2f8tmi06lItfYVvmZ6gLrYnPj7AtX3M/s320/3628-attachment.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />6. เขาใหญ่ นครราชสีมา<br />7. หมู่เกาะช้าง เกาะกูด ตราด<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAM-rHfxqQaOXAvorYTLyydSC3_QDvsBlHFzPrey7FDwAd9xOurtqWj83Wtmg-NFqXz0hxgcZ8RjIjvgharm1IqoK79TDY9b8WlNn8ghzfgk00VDVSAmp9bevUZO5J-wTBihupun-hZwmz/s1600-h/3629-attachment.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431632155721432930" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiAM-rHfxqQaOXAvorYTLyydSC3_QDvsBlHFzPrey7FDwAd9xOurtqWj83Wtmg-NFqXz0hxgcZ8RjIjvgharm1IqoK79TDY9b8WlNn8ghzfgk00VDVSAmp9bevUZO5J-wTBihupun-hZwmz/s320/3629-attachment.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />8. เกาะทะลุ ประจวบคีรีขันธ์<br />9. เกาะสมุย เกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี<br />10. หมู่เกาะตะรุเตา หมู่เกาะอาดัง-ราวี สตูล<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtsNiuI4drCN4pSOCf6I138tT-98kq6XQgY_V9HhJvi1ua4R31mK6SR8QdQ476UN-uB9q-sL-ogbNtIwa_8ee4bLIH5Rh2lmhJ5Da5Uy8TR-8fg_dnCM5TlqcycESg3SLugOZIWsR51kto/s1600-h/3630-attachment.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431632358771579522" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtsNiuI4drCN4pSOCf6I138tT-98kq6XQgY_V9HhJvi1ua4R31mK6SR8QdQ476UN-uB9q-sL-ogbNtIwa_8ee4bLIH5Rh2lmhJ5Da5Uy8TR-8fg_dnCM5TlqcycESg3SLugOZIWsR51kto/s320/3630-attachment.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมนับถอยหลัง ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2553 ในอีกหลายจังหวัดทั่วไทย อาทิเช่น<br /><br /><span style="color:#009900;">งานส่งท้ายปีเก่า ต้อน</span>รับปีใหม่สู่เชียงใหม่ 2010 จังหวัดเชียงใหม่<br />วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552 - 1 มกราคม 2553<br /><span style="color:#009900;">สถานที่จัดงาน</span> : ถนนท่าแพตลอดสายและบริเวณช่วงประตูท่าแพ และ Think Park สี่แยกรินคำ อ.เมือง จ.เชียงใหม่<br /><br /><span style="color:#000099;">งานส่งท้ายปีเก่า</span> ต้อนรับปีใหม่ นครราชสีมา<br />วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552 - 3 มกราคม 2553<br /><span style="color:#000099;">สถานที่จัดงาน</span> : อำเภอปากช่อง และอำเภอวังน้ำเขียว นครราชสีมา<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJAX1txrGg6T3rmtXrKSuufHEnQ10Ce9PxOzQsPCFesKpa1Z5akpbIiwCMVo4G2J_6F-UOn0nfMvQkE4JO76oxpwWSn5acUu4Lnx7LQC3TY_vVakfD51uzscks44fGpATaiglX4UQM1xNe/s1600-h/3631-attachment.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431632712395718898" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjJAX1txrGg6T3rmtXrKSuufHEnQ10Ce9PxOzQsPCFesKpa1Z5akpbIiwCMVo4G2J_6F-UOn0nfMvQkE4JO76oxpwWSn5acUu4Lnx7LQC3TY_vVakfD51uzscks44fGpATaiglX4UQM1xNe/s320/3631-attachment.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />Korat Countdown 2010<br />วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552 - 2 มกราคม 2553<br />สถานที่จัดงาน : ลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อ.เมือง จ.นครราชสีมา<br /><br /><span style="color:#009900;">งานรับตะวันใหม่</span> ก่อนใครในสยาม และ อุบลราชธานี เคาท์ดาวน์ 2010<br />วันจัดงาน : 1 ธันวาคม 2552 - 31 มกราคม 2553<br /><span style="color:#009900;">สถานที่จัดงาน</span> : บริเวณเวทีกลาง ด้านหน้าศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDaoY7FSj1nsqOWvAAAjbnE3qqSsR09XrNfojtBV-vt4Kxl9YnilHL-k_7u18cgKtLsX0BfR0zgMgP8o7bwBjSSaND7dwCFY0Ixh9f5uIaHGfjjotGws7KTqdy-50CFJDenBIx1mDS1s_f/s1600-h/3632-attachment.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431632921822041154" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDaoY7FSj1nsqOWvAAAjbnE3qqSsR09XrNfojtBV-vt4Kxl9YnilHL-k_7u18cgKtLsX0BfR0zgMgP8o7bwBjSSaND7dwCFY0Ixh9f5uIaHGfjjotGws7KTqdy-50CFJDenBIx1mDS1s_f/s320/3632-attachment.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br /><span style="color:#3333ff;">งานเทศกาลปีใหม่เมืองพัทยา (Pattaya Countdown 2010)<br /></span>วันจัดงาน : 25 - 31 ธันวาคม 2552<br /><span style="color:#3333ff;">สถานที่จัดงาน</span> : ท่าเทียบเรือท่องเที่ยว(แหลมบาลีฮาย) พัทยาใต้เมืองพัทยา จ.ชลบุรี<br /><br /><span style="color:#6600cc;">งานส่งท้ายปีเก่า</span> ต้อนรับปีใหม่เมืองหัวหิน<br />วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552 - 3 มกราคม 2553<br /><span style="color:#6600cc;">สถานที่จัดงาน</span> : ศูนย์การค้าหัวหินมาร์เก็ตวิลเล็จ ประจวบคีรีขันธ์<br /><br /><span style="color:#990000;">งานสีสันความสุขปีใหม่ภูเก็ต</span> 2553 (Colorful Phuket Countdown 2010)<br />วันจัดงาน : 25 - 31 ธันวาคม 2552 เวลา 18.30 - 24.00 น.<br /><span style="color:#660000;">สถานที่จัดงาน </span>: วงเวียนสุรินทร์ (หอนาฬิกา) ภูเก็ต<br /><br /><br />Night Paradise Hatyai Countdown 2010<br />วันจัดงาน : 29 - 31 ธันวาคม 2552<br />สถานที่จัดงาน : ใจกลางเมืองหาดใหญ่ จ.สงขลา<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhycj7D-K8j_WWkFpdxlbjU-iqbSgH-xd18b3BixPIFSpuXobtVv5FDSD-ftCpsd-FfMvmUhNukhN8ojKJ4RN6k1jj74RUcgc9E5UPTy3tpu6fu26HhQCqjhplP9bjZAq4yRebkFnFwNLe5/s1600-h/3633-night_paradise_hatyai_countdow.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 213px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431633293315796498" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhycj7D-K8j_WWkFpdxlbjU-iqbSgH-xd18b3BixPIFSpuXobtVv5FDSD-ftCpsd-FfMvmUhNukhN8ojKJ4RN6k1jj74RUcgc9E5UPTy3tpu6fu26HhQCqjhplP9bjZAq4yRebkFnFwNLe5/s320/3633-night_paradise_hatyai_countdow.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />ฟังดนตรี และ Countdown to New Year @ บูติก ราฟท์ ริเวอร์แคว รีสอร์ท<br />วันจัดงาน : 31 ธันวาคม 2552<br />สถานที่จัดงาน : Boutique Raft Riverkwai อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี<br /><br />งานมหกรรมอาหาร และงานต้อนรับปีใหม่ จังหวัดพิษณุโลก<br />วันจัดงาน : 25 ธันวาคม 2552- 1 มกราคม 2553<br />สถานที่จัดงาน : บริเวณสวนชมน่านเฉลิมพระเกียรติ อ.เมือง จ.พิษณุโลก<br /><br />แถมอีกหน่อยมีที่หรู ๆ สำหรับคู่รักที่ไม่อยากไปไกลในกทม.มาฝากค่ะ<br />คนแแห่จองคิวเคาต์ดาวน์ปีใหม่บนชั้น 55 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์วิวที่ดีที่สุดติดอันดับท็อปทรี พร้อมมองเห็นทิวทัศน์ตึกกลางเมืองแบบ 360 องศา...<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmja-qA_PeOwaEd6XMi8wipWdaIhuuZceJHyd7PMSqGPBIYFIbQN4k9h3FnECjJzTB3SEILcQuR24p4W0tjZnOCwgMwpMBK3K78nfOjNsFIILXXfd4J-8cZ9fAcinMwLt_4wOTm0bPU0xe/s1600-h/55068_20_3.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 246px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431633417442835218" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhmja-qA_PeOwaEd6XMi8wipWdaIhuuZceJHyd7PMSqGPBIYFIbQN4k9h3FnECjJzTB3SEILcQuR24p4W0tjZnOCwgMwpMBK3K78nfOjNsFIILXXfd4J-8cZ9fAcinMwLt_4wOTm0bPU0xe/s320/55068_20_3.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />อีกไม่กี่วันก็จะถึงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่แล้ว ปีนี้มีวันหยุดติดต่อกันถึง 4 วันเต็ม...เย้ๆๆ!! ถ้าใครยังไม่มีแผนไปเที่ยวพักผ่อนตามต่างจังหวัด หรือเดินทางไปเมืองนอก อยากชวนมาร่วมเคาต์ดาวน์ นับถอยหลังส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ในบรรยากาศแปลกใหม่บนตึกสูงระฟ้าใจกลางเมืองกรุงเพื่อเนรมิตค่ำคืนสุดท้ายของปีให้เป็นความทรงจำอันสุดแสนประทับใจ<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9OMusW7l8S3oZSj-Om56RJtsnrUsLi8Tpp7mKo6Thj_uw2M1GW34GsASfaMIApMLE03mlSW1frtx0w51DGSn5oH2nYwSpwYFXGww-zHLh-pZc4mAoHGnDw1mX2Ot7Qz1NO3MdGrPnnoIx/s1600-h/55068_20_10.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429093945679353698" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9OMusW7l8S3oZSj-Om56RJtsnrUsLi8Tpp7mKo6Thj_uw2M1GW34GsASfaMIApMLE03mlSW1frtx0w51DGSn5oH2nYwSpwYFXGww-zHLh-pZc4mAoHGnDw1mX2Ot7Qz1NO3MdGrPnnoIx/s320/55068_20_10.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjga9BGSjIPGKc9GPixjxxtJ0IfT4xF1-PQpryiHmpNZ5M3BsXswCuHJ8bDPlwp0KilIHOqDiH7gV0Au_E4C8-Bvr4jaTEcEAGwWWA1WnuDuXROAmweFokStz3e_cKHz6vxrsu9Yg_2CPuL/s1600-h/55068_20_9.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429093775055675570" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjga9BGSjIPGKc9GPixjxxtJ0IfT4xF1-PQpryiHmpNZ5M3BsXswCuHJ8bDPlwp0KilIHOqDiH7gV0Au_E4C8-Bvr4jaTEcEAGwWWA1WnuDuXROAmweFokStz3e_cKHz6vxrsu9Yg_2CPuL/s320/55068_20_9.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br /><br />มีคิวจองแน่นเอี้ยดตั้งแต่ยังไม่พลิกปฏิทินเข้าสู่เดือนธันวาคม เพราะโดดเด่นเรื่องบรรยากาศ สุดโรแมนติก และทัศนียภาพแบบซุปเปอร์พาโนรามา มองเห็นทิวทัศน์ของตึกระฟ้าทั่วใจกลางเมืองแบบ 360 องศา คงต้องยกให้ เรดสกาย (Red Sky) เรสเตอรองต์ แอนด์ ไวน์บาร์ สุดไฮคลาส บนชั้น 55 ของโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิลด์ ที่นี่ไม่เพียงแต่จะได้รับการยกย่องให้เป็นร้านอาหารที่สูงที่สุด และวิวดีที่สุด ติดอันดับท็อปทรีของเมืองไทย ยังกินขาดในเรื่องความพิถีพิถันของการให้บริการ เหมาะเจาะอย่างยิ่งสำหรับการเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่นี้ ทั้งได้ดินเนอร์มื้อหรูกับอาหารอร่อยสไตล์ตะวันตก เคล้าเสียง เปียโนจากนักร้องเพลงแจ๊สระดับคุณภาพ<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFI5Gany6qRCs6MO3864IFMI5OW9n47NTIHRRQzqQkanRbbOGw9Qehfo-xaLLmVYCilQz5wxpYv7PqDTRbiedI407ZddeoMJbTeHn6QUGIZTlqw8EODzuJwpT4U0PdDESntSmzCRtxCMpV/s1600-h/55068_20_6.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 246px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429093614390305538" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiFI5Gany6qRCs6MO3864IFMI5OW9n47NTIHRRQzqQkanRbbOGw9Qehfo-xaLLmVYCilQz5wxpYv7PqDTRbiedI407ZddeoMJbTeHn6QUGIZTlqw8EODzuJwpT4U0PdDESntSmzCRtxCMpV/s320/55068_20_6.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br /><br />เรสเตอรองต์แห่งนี้ยังมีบริการมาร์ตินี่ที่คิดค้นสูตรอย่างดีคอยเสิร์ฟให้ได้ดริงก์ตลอดค่ำคืน บริเวณมาร์ตินี่บาร์ ส่วนคอไวน์สามารถเลือกสรรไวน์ชั้นเลิศกว่า 200 แบรนด์จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งนำมาเรียงรายในไวน์เซลล่า แนวดิ่งสูงถึง 9 เมตร โดยมีนางฟ้าแสนสวยคอยโหนตัวขึ้นลงหยิบไวน์ขวดหรู มาปรนนิบัติตามออร์เดอร์ เพื่อเติมเต็มความพิเศษให้อาหารมื้อสำคัญยิ่งสเปเชียลขึ้น ภายในแบ่งพื้นที่เป็น 2 โซนหลักๆคือ พื้นที่อินดอร์ รองรับได้ 81 ที่นั่ง และเอาต์ดอร์ 149 ที่นั่ง เตรียมเฉลิมฉลองอย่างประทับใจ พร้อมร่วมเคาต์ดาวน์ปีใหม่ กับมื้อค่ำสุดพิเศษ 6 คอร์ส อาทิ ฟัวร์กราอบเสิร์ฟพร้อมเทอรีนแอปเปิ้ลผสมเครื่อง เทศ, ลอปสเตอร์ย่าง, ปลาค็อตอบสไตล์ฝรั่งเศส และเนื้อวากิวย่าง ในราคาเพียง 1,555++บาทต่อท่าน และรับแชมเปญฟรีหนึ่งแก้ว สำรองที่นั่งได้ที่โทร. 0-2100-6255<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhv42Isnc-u5N_cBwJhnLHwpXrwnuaaueCYbRo68jjOppu0k37-xxHjJ4qPRc5Dyno1iharU95bH7qY4Wi7tGBlYk_vmaTJEsK4fNIAet7ljWJb7OXdyNEXVGZMbIjBM4xGghf0Ta75zCAP/s1600-h/55068_20_2.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 246px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429093419405634290" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhv42Isnc-u5N_cBwJhnLHwpXrwnuaaueCYbRo68jjOppu0k37-xxHjJ4qPRc5Dyno1iharU95bH7qY4Wi7tGBlYk_vmaTJEsK4fNIAet7ljWJb7OXdyNEXVGZMbIjBM4xGghf0Ta75zCAP/s320/55068_20_2.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />ไม่ใกล้ไม่ไกลกันยังเป็นแหล่งสังสรรค์สุดฮิป ของคนอินเทรนด์ทุกเพศทุกวัย แค่ขึ้นลิฟต์เซนเวิลด์ ทาวเวอร์ ห้างฯเซน ไปที่ชั้น 17 จะได้ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศสุดคูลของเรสเตอรองต์ แอนด์ บาร์ แห่งใหม่ ZENSE เปิดให้บริการอาหารนานาชาติ ทั้งไทย อิตาลี ญี่ปุ่น จีน และอินเดีย พร้อมไวน์และค็อกเทลชั้นเลิศ โดยมีทัศนียภาพของตึกระฟ้าใจกลางกรุงเป็นจุดขายสำคัญ ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ "Destiny" ฝีมือออกแบบของ "อมตะ หลูไพบูลย์" สถาปนิกแถวหน้าของเมืองไทย ได้แรงบันดาลใจจากธาตุทั้งสี่คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดย ZENSE เป็นตัวแทนของธาตุดิน จึงใช้ไม้เป็นวัสดุหลักในการตกแต่งให้อา-รมณ์โก้หรู และเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvZ3BJDKugTCd8pk5qYY0UcZKxQJCJfBWIeVlwbYrymMISWtvTYEFg2yKRcMGe8qqqf_gPA1tGiFkjqkqwomAuWbVqU-SLH0kjABOCI64KEVbm6APLxSqplVaUjtFG2Yt-fdtK6rwXqmKc/s1600-h/55068_20_8.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429093023650611506" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvZ3BJDKugTCd8pk5qYY0UcZKxQJCJfBWIeVlwbYrymMISWtvTYEFg2yKRcMGe8qqqf_gPA1tGiFkjqkqwomAuWbVqU-SLH0kjABOCI64KEVbm6APLxSqplVaUjtFG2Yt-fdtK6rwXqmKc/s320/55068_20_8.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br />สำหรับเทศกาลปีใหม่นี้ ระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.2552 ถึง 1 ม.ค.2553 มีกิจกรรมปาร์ตี้ เพื่อให้ได้ เคาต์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่า ภายใต้คอนเซปต์ "ZENSY New Year 2010 Cele-bration Events" เตรียมสนุกอย่างเต็มพิกัดกับเมนูเฉลิมฉลอง ที่จัดเตรียมไว้เฉพาะค่ำคืนพิเศษ โดยมีศิลปินนักร้องและดีเจชื่อดังคอยสร้างสีสันตลอดค่ำคืน ไม่น่าพลาดชมลีลาสแครชแผ่นของดีเจแนวชิลเอาต์แดนซ์ ระดับโลก "โฆเซ่ ปาดิญา" จากเกาะอิบิซ่า ประเทศสเปน สอบถามเพิ่ม เติมโทร 0-2100-9898<br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBL3HRvrLxqUG2pAEKTjFAg_K11caepHFH8P7HLa543QiwvqFdSo8ludfOHgd8P8RQVD5AbAP7PPl8A1RAoAwSnsVYGtWvsqG1t-z1ffAQ_RxU8zi8LGys4TbKwd7lpglWvrXfLQ3B2Yvt/s1600-h/55068_20_7.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 246px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429092809055410994" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBL3HRvrLxqUG2pAEKTjFAg_K11caepHFH8P7HLa543QiwvqFdSo8ludfOHgd8P8RQVD5AbAP7PPl8A1RAoAwSnsVYGtWvsqG1t-z1ffAQ_RxU8zi8LGys4TbKwd7lpglWvrXfLQ3B2Yvt/s320/55068_20_7.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvZ3BJDKugTCd8pk5qYY0UcZKxQJCJfBWIeVlwbYrymMISWtvTYEFg2yKRcMGe8qqqf_gPA1tGiFkjqkqwomAuWbVqU-SLH0kjABOCI64KEVbm6APLxSqplVaUjtFG2Yt-fdtK6rwXqmKc/s1600-h/55068_20_8.jpg"><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; DISPLAY: block; HEIGHT: 180px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5429093023650611506" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvZ3BJDKugTCd8pk5qYY0UcZKxQJCJfBWIeVlwbYrymMISWtvTYEFg2yKRcMGe8qqqf_gPA1tGiFkjqkqwomAuWbVqU-SLH0kjABOCI64KEVbm6APLxSqplVaUjtFG2Yt-fdtK6rwXqmKc/s320/55068_20_8.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong><br /><br /><br /><br />ใครที่กลัวรถติด อยากหลีกหนีความวุ่นวายอึกทึกของสี่แยกราชประสงค์ แนะนำให้เขยิบออกไป เคาต์ดาวน์ที่ The roof Restaurant บนชั้น 25 ของสยามแอ็ทสยาม ดีไซน์ โฮเต็ลแอนด์สปา รับรองว่าจะได้ชมพลุและดูวิวทิวทัศน์เมืองกรุงยามค่ำคืนสวยไม่แพ้กัน โดยรูปแบบการตกแต่งของที่นี่เน้นความโปร่งโล่งสบาย เพื่อเปิดให้เห็นทัศนียภาพรายล้อมทั่วทุกด้าน มีการใช้วัสดุไม้และเหล็กเป็นหลัก ทำให้ ได้กลิ่นอายแบบอินดัสเทรียล อาร์ต สะท้อนความทันสมัยและแข็งแกร่งของโครงสร้าง ขณะเดียวกัน ก็เติมความอบอุ่นเป็นกันเอง ด้วยโทนสีแดง น้ำเงิน สลับกับสีส้ม มีที่นั่งให้เลือกรับลมหนาว 130 ที่นั่ง ในบรรยากาศชั้นดาดฟ้าพาโนรามา ที่นี่ยังเป็นเรสเตอรองต์แรกในเมืองไทย ที่ให้บริการ Stone grill Alfasco เป็นการปรุงอาหารบน Volcano Stone หรือหินคืนสภาพหลังการระเบิดของภูเขาไฟลาวา สามารถเก็บความร้อนและปรุงอาหารได้นานถึง 20 นาที ด้วยอุณหภูมิความร้อนในหินสูงกว่า 400 องศาเซลเซียส พร้อมให้ได้เลือกปรุงอาหารบนหินร้อนในคอนเซปต์ของ Hot Stone Grill ด้วยตัวเอง ร่วมฉลองปีใหม่กับปาร์ตี้สุดเก๋ไก๋ในค่ำคืน 31 ธ.ค.นี้ ภายใต้คอนเซปต์ "Chic 2009 Glamourously 2010 New Year Party" เสิร์ฟชุดอาหารค่ำท่ามกลางทิวทัศน์เมืองกรุง ในค่ำคืนสุดท้ายของปี ราคาท่านละ 4,500 บาท จองที่นั่งล่วงหน้า โทร. 0-2217-3000 หรือคลิกเข้าไปที่ www.partyhouseone.com<br /><br /><embed type="application/x-shockwave-flash" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="288" height="192" flashvars="host=picasaweb.google.com&captions=1&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fjintanachai127%2Falbumid%2F5429077598996910017%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US" pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer"></embed><br /><br /><br /><span style="color:#000099;">แหล่งที่มาของข้อมูล</span><br /><br />http://www.sumantana.kroobannok.com/25491<br />http://thailandexhibition.com/Event-76/Event-76-Detail.php?id=121<br />ไทยรัฐออนไลน์<br />เดลินิวส์<br />การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยtrekkingthai.com<br />http://pirun.ku.ac.th/~b5101104/place.html<br />http://www.holidaythai.com/songchai/photo-2817.htm<br />http://khunnamob.hostignition.com/backup/nonlaw/nonlaw.7forum.net/forum-f7/topic-t309-30.htm</strong></span>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-67583174454085140762010-01-20T23:05:00.001-08:002010-02-11T01:46:33.724-08:00<embed pluginspage="http://www.macromedia.com/go/getflashplayer" src="http://picasaweb.google.com/s/c/bin/slideshow.swf" width="288" height="192" type="application/x-shockwave-flash" flashvars="host=picasaweb.google.com&hl=en_US&feat=flashalbum&RGB=0x000000&feed=http%3A%2F%2Fpicasaweb.google.com%2Fdata%2Ffeed%2Fapi%2Fuser%2Fjintanachai127%2Falbumid%2F5429085065332466561%3Falt%3Drss%26kind%3Dphoto%26hl%3Den_US"></embed>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-24181766864903934602010-01-09T20:47:00.000-08:002010-01-09T21:32:13.677-08:00ชนเผ่าของภาคอีสาน<div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:180%;color:#ff6666;"> ชนเผ่าประจำภาคอีสาน </span></strong></span></div><div><br /><br /></div><div><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:180%;color:#ff6666;"><br /></div></span></strong></span><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 347px; DISPLAY: block; HEIGHT: 259px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424978375266433218" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6OOOVUNPevc-BaJ9PoEtbMlgKsLinawjPoGXMrcb8vaF81JBqig4ebEeyHOdfcmP4N_epO5x_1tl3UXgbiYSq18Yz4V0MVr9k3QkQxbUyVhMRThC_BbR6aphiQ_Yx7k3_X1jrlA4qHe7D/s320/images.jpg" /><br /><span style="color:#3333ff;">เผ่าไทยในนครพนม<br /><br />จังหวัดนครพนม ประกอบด้วยชนเผ่าต่าง ๆ รวม ๗ เผ่า ได้แก่ ชาวผู้ไท (ภูไท) ไทยญ้อ ไทยแสก ไทยกะเลิง ไทยโส้ ไทยข่า ไทยลาว (ไทยอีสาน) แต่ละเป่าจะรวมกันเป็นกลุ่ม กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่อำเภอต่าง ๆ ดังนี้<br /><br /><span style="color:#ff6600;">๑. ชาวผู้ไท (ภูไท)</span> ผู้พิศมัย ความสุนทรีแห่งการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองผู้มาเยือนโดยเฉพาะการจัดการบายศรีสู่ขวัญ เลี้ยง<br /><br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheN0sojAQf06xy5js6TiASbB18-cFE6F0ARSdoQtmw5E1pOtdni2pQDYeqcLpgZIkNPIMWIB6dHL2ZFootY2-sT1eXaVJGmKju2wtT9IP65k3QkHbvdMN-IOspkeizLZ79abO0wnOLhw_D/s1600-h/nkppeople.bmp"><span style="font-family:arial;color:#3333ff;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 219px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424970318482896514" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheN0sojAQf06xy5js6TiASbB18-cFE6F0ARSdoQtmw5E1pOtdni2pQDYeqcLpgZIkNPIMWIB6dHL2ZFootY2-sT1eXaVJGmKju2wtT9IP65k3QkHbvdMN-IOspkeizLZ79abO0wnOLhw_D/s320/nkppeople.bmp" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#3333ff;"><br /><br />อาหาร ขี่ช้างคู่ (ดูดอุคู่ชายหญิง) หรือเหล้าหมักแบบท้องถิ่นดื่มกัน ทั้งไหโดยใช้หลอดไม้ซางดูดน้ำเหล้าจากไห มีพิธีกรรมในรอบปีตามฮีตสิบสิง มีนาฏศิลป์การฟ้อนภูไทที่ร่ายรำลีลาที่อ่อนช้อยประกอบวงแคน ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่เรณูนคร มีบางส่วนที่อยู่ที่อำเภอนาแก อำเภอธาตุพนม อำเภอปลาปาก เผ่าผู้ไทย ชาวผู้ไทยเป็นชาวจังหวัดนครพนมเผ่าหนึ่ง ที่อาศัยเขต อำเภอเรณูนคร อำเภอนาแก อำเภอธาตุพนม อำเภอนาหว้า เดิมตั้งถิ่นฐานในแคว้นสิบสองจุไทย แคว้นสิบสองปันนา ชาวผู้ไทย ได้อพยพจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำ โขงเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ในปี พ.ศ. ๒๓๖๙ ซึ่งตรงกับสมัยราชการที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ตามตำนานของชาวผู้ไทยเรณูนคร กล่าวไว้ในพงศาวดารล้านช้าง ว่าที่เมืองน้ำน้อยอ้อยหนูหรือแถน มีปู่เจ้าลางเซิง ขุนเค็ก ขุนคาง ปกครองชาวผู้ไทย เมือเกิดทุกภิกขภัยพญากา หัวหน้าผู้ไทยคนหนึ่งได้เกิดขัดแย้งกับเจ้าเมือง จึงชัดผู้ไทยจำนวนหนึ่งมาอยู่ที่เมืองวังอ่างคำแขวง สุวรรณเขตปัจจุบัน ที่เมืองแห่งนี้มีชาวข่าอาศัยอยู่ก่อนแล้วจึงเกิดพิพาทกันขึ้นต่อมาผู้ไทยถูกชาวข่าและจีนฮ่อบุกรุกทำลายเผ่าบ้านเรือน และจับเอาพญาเตโชหัวหน้าชาวผู้ไทยไปเมืองจีน พญาเตโชได้สั่งลูกหลานว่า อย่าอยู่เมืองวังเลยให้อพยพไปอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเสียเถิด<br />ชาวผู้ไทยโดยการนำมาของท้าวเพชร ท้าวสาย จึงพาชาวผู้ไทยจากเมืองวัง เข้ามาอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำขวา โดยการต่อเรือและแพล่องมาตามแม่น้ำโขง ข้ามมาขึ้นฝั่งที่บ้านพระกลางท่าเขตอำเภอธาตุพนม พระภิกษุทาเจ้าสำนักธาตุพนมเวลานั้นได้แนะนำให้ไปตั้งบ้านเรือนที่ ดงหวายสายบ่อแก ชาวผู้ไทยจึงอพยพกันต่อไปและตั้งบ้านเรือนขึ้นใหม่ให้ชื่อว่า เมืองเว รัชกาลที่ 3 จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ท้าวสายเป็น พระแก้วโกมล เจ้าเมืองคนแรกและยกเป็นเมืองเรณูนครขึ้นกับเมืองนครพนม ปัจจุบันคือ อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพรม<br />เปรียบเทียบภาษา<br /><span style="color:#ff0000;">หมวดเครื่องใช้</span><br />เครื่องเขียนแบบเรียน<br />ไทยกลาง ไทยอีสาน ผู้ไทย<br />ดินสอ สอ สอ<br />ดินสอสี สอสี สอสี<br />ชอล์ก ช็อก ช็อก<br />ไม้บรรทัด ไม้บัน ทัด ไม้บันทัด<br />ยางลบ ยางลบ ยางลบ<br />สมุด สะมุด สะมุด<br />หนังสือ หนังสือ หนั่งสือ<br />กระดานดำ กะดานดำ กะด๋านด๋ำ<br />แปลงลบกระดาน แปงลบกระดาน แปลงลบกะด๋าน<br />กระดาษ กะดาษ กะด๋าษ<br />ปากกา ปากกา ปากกา<br />น้ำหมึก น่ำหมึก น่ำมึก<br />ชั้น ชั่น ชั้น<br /></span><br /><br /><span style="color:#ff6600;"><span style="color:#33ff33;">๒. ไทยญ้อ</span> <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 214px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424979337456357618" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgN-fwTERWGkxWs0ePnofm-zuZk8_9F44036RF3c9_pyZQoE-cY02z6XvhrcEzd3S7SIKyi8rtW0fqAcBbc50Abg9E5W8PaQjyuCYq0_T-eoBVbh_yMO88CB2WEwZUCUwo5rcFdQbYW7k5l/s320/kalas2-306-2-5.jpg" />เป็นกลุ่มไทย-ลาว อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมาจากเมืองหงสา แขวงไชยบุรีประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ปากน้ำสงคราม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๗ ส่วนใหญ่อยู่ที่อำเภอท่าอุเทน อำเภอบ้านแพง และบ้านขว้างคี ตำบลบ้านค้อ อำเภอโพนสวรรค์ ซึ่งได้ชื่อว่า "หมู่บ้านคอมโดมีเนียมผี"<br />เผ่าไทยญ้อ (ญ้อ)<br />ประวัติความเป็นมาของชาวไทยญ้อ ถิ่นฐานเดิมของไทยญ้อ อยู่ที่เมืองหงสา แขวงไชยบุรี ของประเทศลาวหรือจังหวัดลาวช้างของไทยสมัยหนึ่ง ไทยญ้อส่วนใหญ่ได้อพยพ มาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่ไชบุรี ปากน้ำสงครามริมฝั่งแม่น้ำโขง (ตำบลไชยบุรี อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนมในปัจจุบัน) ในสมัยราชการที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕๑ ต่อมาเมื่อเกิดกฎเจ้าอนุเวียงจันทน์ในสมัย รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๙) พวกไทยญ้อที่เมืองไชยบุรีได้ถูกกองทัพเจ้าอนุวงศ์กวาดต้านไปแล้วให้ไปตั้งเมืองอยู่ ณ เมืองปุงลิง ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง (อยู่ในเขตแขวงคำม่วนประเทศลาว) อยู่ระยะหนึ่งต่อมาได้กลับมาตั้งเมืองขึ้นใหม่ทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงตั้งเป็นเมืองท่าอุเทนเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๓ คือ บริเวณท่าอุเทน จังหวัดนครพนมในปั๗๗บัน<br /><span style="color:#cc0000;">นิสัยใจคอของไทยญ้อ</span>ส่วนมากที่สุดคือ ซื่อสัตย์ สุจริต รักสงบ มีความสามัคีมั่น ไม่ว่าจะมีอะไรเช่นการทำบุญ การปลูกบ้าน ทำนาจะว่านหรือวานกัน (นาว่านคือ การลงแขก ทำนา ทำงาน)<br /><span style="color:#009900;">การแต่กายชุดรำไทยญ้อ</span><br /><span style="color:#33cc00;">ชาย</span> สวมเสื้อคอพวงมาลัยสีเขียวสด ใช้สไบไหมสีน้ำเงินพับครึ่งกลาง พาดไหล่ ซ้ายและขวา ปล่อยชายสองข้างไปด้านหลังให้ชายเท่ากัน นุ่งผ้าโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม ใช้สไบไหมสีแดงคาดเอว ปล่อยชายข้างซ้ายด้านหน้า เครื่องประดับสร้อยเงิน ห้อนพระ ใบหูทัดดอก ดาวเรืองด้านซ้าย<br /><span style="color:#33cc00;">หญิง</span> สวมเสื่อแขนกระบอกสีชมพู (สีบานเย็น) คอกลมขยิบดำ หรือน้ำเงินเข้ม นุ่งผ้าถุงไหมสีน้ำเงินมีเชิง (ตีนจก) เข็มขัดลายชิดคาดเอว ใช้สไบไหมสีน้ำเงินพาดไหล่ด้านซ้ายแบบเฉียงปล่อยชายยาวทั้งด้านหน้าและด้านหลังให้ชายเท่ากัน เครื่องประดับสร้อยคอ ตุ้มหู สร้อยข้อมือเครื่องเงิน ผมเกล้ามวยประดับดอกไม้สด หรือดอกไม้ประดิษฐ์ ปัจจุบันชาวไทยญ้อ<br />๘๐ % อยู่ที่อำเภอท่าอุเทน อำเภอศรีสงคราม อำเภอนาหว้า<br /><span style="color:#3333ff;">คำศัพท์ภาษาไทยญ้อ (ญ้อ)<br /></span>คำศัพท์ คำอ่าน ความหมาย<br />กิด กิด สั้น,น้อย<br />กะโป๊ กะ โป๊ กะลา<br />กะบวน กะ-บวน ดี, เข้าเท่า<br />กะปอม กะ-ปอม กิ้งก่า<br />กะเปา กะ-เปา เป๋า<br />กะดัดกะด้อ กะ-ดัด-กะ-ด้อ เกินไป<br />เกิบ เกิบ รองเท้า<br />ก้องแขน ก้อง-แขน กำลัยมือ<br />กะเทิน กะ-เทิน ครึ่งๆ , กลางๆ<br />กะแดะ กะ-แดะ แรด-ดัดจริต<br />เก้อ เก้อ ใกล้<br />กะโพด กะ-โพด เกินไป<br />กั้งคันฮ่ม กั้ง-คัน-ฮ่ม กางร่ม<br />กล้วยเหิ่ม กล้วย-เหิ่ม กล้วยห่าม<br />กับแก๊ กับ-แก๊ ตุ๊กแก<br />กะหน่อง กะ-หน่อง ส้นเท้า<br />ก่วย ก่วย ปัด<br />เกิบตีนยอง เกิบตีนยอง เหม็นสาบ<br />กองเลง กอง-เลง กลองสองหน้าที่ใช้ในงาน<br />ประเพณีให้เกิดความสนุก<br />กะปาง กะ-ปาง รางอาหารสัตว์<br /></span><br /><br /><span style="color:#3333ff;">๓. ไทยแสก</span> <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 309px; DISPLAY: block; HEIGHT: 321px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424978835887979250" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjXFfpcAjWq8LUe63h3pASg-EhZIk4bgjIZmigDOUQDFIQMbg85oRW30fJN8x3RXb1r0Kmi1VEmsNQ1Q4OWhJJFSNMM6_oatLOGd-mu8VlLnSHv3Bpcvzn_HF8A-p7AtQZj5oYjRJZmEJT7/s320/imagesCAKMVPI8.jpg" /><span style="color:#33cc00;">มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่เมืองแสก เขตเมืองคำเกิด ติดชายแดนญวน ๒๐ กิโลเมตร อพยพมาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ตอนที่ประเทศไทยปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ สมัยราชการที่ ๓ ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ตำบลอาจสามารถ อำเภอเมืองนครพนม และบางส่วนอยู่ที่อำเภอนาหว้า มีประเพณีที่สำคัญคือ การเล่นแสกเต้นสาก<br />เผ่าไทแสก แสก เป็นชนกลุ่มน้อยภาคอีสานเผ่าหนึ่งในจำนวนหลายๆ เผ่าที่มีอยู่ในประเทศไทย เดิมชาวแสกมีภูมิลำเนาอยู่ที่เมืองรองขึ้นกับกรุงเว้ อยู่ทางตอนกลางของประเทศเวียดนามและจีน ชนเผ่าแสกเป็นชนเผ่าที่มีความอุสาหะบากบั่น ยึดมั่นในความสามัคคี เมื่อเห็นภูมิลำเนาเดิมไม่เหมาะสมจึงได้รวมสมัครพรรคพวกอพยพหาที่อยู่ไหม่ โดยอพยพลงมาจาลำน้ำดขงแล้วมาตั้งถิ่นฐานชั่วคราวอยู่ละหว่างประเทศเวียดนามกับประเทศลาว โดยมี ท้าว กายซุ และท้าวกายชา เป็นหัวหน้าในการอพยพ ต่อมาในสมัยสมเด็ดพระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยากษัตริย์ของไทยชาวแสก ได้อพยพข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งถิ่นฐานมาอยู่ที่ป่าหายโศก การอพยพของชาวแสกแต่ละครั้งนั้น ไม่ได้ถูกบังครับหรือถูกข่มแหงแต่อยู่ใด เมื่อชาวแสกเห็นว่าบริเวณป่าหายโศก เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรต่างๆ จึงได้อพยพกันมาประกอบอาชีพอยู่แห่งนี้เรื่อยมา<br />จนถึงสมัยพระสุนทรเป็นเจ้าเมืองได้พิจารณาเห็นว่าชาวแสกมีความสามารถและความเข้มแข็ง สามารถปกครองตนเองได้จึงได้ยกฐานะของชาวแสกขึ้นเป็นเมืองโดยได้เปลี่ยนชื่อใหม่จากป่าหายโศก เป็นเมืองอาจสามารถ หรือบ้านอาจสามารถ จนทุกวันนี้<br />เมื่อได้ยกฐานะขึ้นเป็นเมืองแล้ว ชาวแสกต่างพากันโยกย้ายที่อยู่ไปทำมาหากินในถิ่นต่าง อีกก็มี เช่น บ้านไผ่ล้อม (ตำบลอาจสามารถ) บ้านดงสมอ บ้านบะหว้า (อำเภอนาหว้า) ในพื้นที่อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม และที่บ้านโพธิ์คำ (ประเทศลาว) ชาวแสกเหล่านี้ ล้วนเป็นเชื้อสายและเป็นญาติพี่น้องกับชาวแสกที่บ้านอาจสามารถ<br />จากคำบอกกล่าวของชาวแสกทราบว่า ปัจจุบันยังมีเผ่าแสกที่อยู่แคว้นสิบสองปันนาที่ประเทศจีน และที่สมุทรปราการ ประเทศไทยอีกด้วย<br /><span style="color:#3333ff;">คำศัพท์ภาษาไทยแสก</span><br />ภาษาไทยกลาง ภาษาไทยอีสาน ภาษาไทยแสก<br />ช้าง ซ่าง ซาง<br />ม้า ม่า มา<br />แพะ แพะ แพะ<br />เป็ด เป๋ด ปึ๊ด<br />ปลา ปา ปร๋า<br />แมว แม่ว แมว<br />หมู หมู หมู<br />หมี หมี หมี<br />หนู หนู หนู<br />วัว งั่ว บอ<br />หอย หอย โอก<br />ห่าน ฮ่าน ห่าน<br />ผีเสื้อ แมงกะเบี้ย บุ่งบ่า<br />เสือ เสีย,เสือ กุ๊ก<br />สิงโต สิงโต สิงโต<br />ยีราฟ ยีราฟ ยีราฟ<br />สุนัข หมา มา<br />จิ้งจก ขี้เกี้ยม ยะราน<br />ตุ๊กแก กั๊บแก้ กั๊บแก้<br />ปู ปู เบษ<br />เต่า เต้า รอ<br />เขียด เขียด แทร่ (ควบ)<br />อึ่ง อึง อึ่ง<br />ปลาดุก ปาดุก ปร่าร้อก<br />ปลาช่อน ปาค่อ ปร่าแทร่<br />ปลาซิว ปาซิว ปร๋าชิว<br /><br /></span><span style="color:#3333ff;">๔. ไทยกะเลิง</span><span style="color:#ff0000;"> <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 215px; DISPLAY: block; HEIGHT: 231px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424975229099630402" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhEli2-t-ORzCcvC8gCZlDVCeB7py1jlHunLIPmTdfv-GYulfpQlwyv62go00UMFv4Go8mgwbFCjVI4FnQZv9wxyA1wHrXh6-KEzedaeP8f4v8bfHxc9k_q9kRK7K9SewSTTPb186Oz6qj0/s320/%E0%B8%81%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87.jpg" />มีภาษาพูดของเผ่าเช่นเดียวกับโส้ อพยพมาจากแขวงสุวรรณเขต เขตคำม่วน ไทยกะเลิง ส่วนใหญ่จะตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านพระซอง ตำบลพระซอง อำเภอนาแก และที่ตำบลรามราช อำเภอท่าอุเทน โดยมีศูนย์วัฒนธรรมไทยกะเลิง ที่โรงเรียนพระซองสามัคคีวิทยา อำเภอนาแก ในวันเปิดศูนย์ฯ "นายนาวิน ขันธหิริญ" ได้เป็นประธานเปิดงานดังกล่าว นอกจากนี้ยังมีบางส่วนได้ตั้งบ้านเรือยอยู่ที่ อำเภอโพนสวรรค์ อาศัยปะปนกับพวกข่าและโส้ และที่ตำบลนาถ่อน อำเภอธาตุพนม ก็มีจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่ที่นั่น<br /><br />ศูนย์วัฒนธรรมไทยกะเลิงแห่งนี้ ตั้งขึ้นตามนโยบายฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม นายนาวิน ขันธหิรัญ ดังนั้น อำเภอนาแกโดยการนำของนายยงยุทธ นุกิจรังสรรค์ นายอำเภอนาแก จึงได้ร่วมประสานกับ อบต. โรงเรียน จัดตั้งศูนย์ดังกล่าวขึ้น โดยนำเอาเอกลักษณ์แท้ ๆ ของไทยกะเลิง ส่งเสริมและพัฒนาให้มีสีสันและงดงามอลังการ ศูนย์วัฒนธรรม "ไทยกะเลิง" แห่งนี้ได้ปลุกเร้าให้เยาวชนตระหนักถึงคุณค่าของผลผลิตอันเกิดจากกระบวนความคิดของบรรพบุรุษที่แยบยลและลึกซึ้ง<br /><br />ของดีอย่างนี้ "คนรุ่นใหม่" ควรที่จะศึกษาและอนุรักษ์ไว้ มิให้เสื่อมสลายตามกาลเวลาไปจากแผ่นดินไทยของเรา<br /><span style="color:#3333ff;">เผ่าไทยกะเลิง<br /></span>กะเลิงเป็นชาวกลุ่มน้อยที่เป็นชาติพันธุ์ ทางภาษากลุ่มหนึ่ง เช่นเดียวกับชนกลุ่มญ้อ โส้ แสก ผู้ไทยและเวียดนาม ซึ่งมีอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครพนม กะเลิงมีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ชนกลุ่มกะเลิงได้อพยพมาตั้งแหล่งอยู่ในประเมทไทยเมื่อประมาร ๑๐๐ ปีเศษ ตั้งแต่มีการปราบเจ้าอนุวงศ์ในราชกาลที่ ๓ และมีการอพยพครั้งใหญ่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อเกิดศึกกบฏฮ่อในปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ปัจจุบันมีชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเลิงในประเทศไทย ที่จังหวัดนครพนม สกลนคร กาฬสินธุ์ มุกดาหาร<br />นครพนมมีกลุ่มอำเภอเมืองกลุ่มกะเลิงที่ บ้านกุรุคุ หนองหญ้าไซ นาปง ไทสามัคคี ตำบลกุรุคุ บ้านนาโพธิ์ บ้านผึ้ง วังกะแส นามน เทพนม ดงสว่าง บ้านผึ้ง บ้านขามเฒ่า ตำบลขามเฒ่า บ้านดงขวาง บ้านคำเตย หัวโพน ตำบลนาทรายบ้านเวินพระบาท บ้านยางนกเหาะ บ้านนาโสกใต้ บ้านนาโสกเหนือ บ้านม่วง อำเภอนาแก บ้านโพนสว่าง บ้านโพนแดง ตำบลนาแก บ้านพระซอง ตำบลพระซอง อำเภอธาตุพนม บ้านนาถ่อน ตำบลนาถ่อน บ้านดอนนาหงส์ อำเภอเรณูนครตำบลเรณูนคร ตำบลนางาม ตำบลนายอ อำเภอปลาปาก บ้านปลาปาก ตำบลปลาปาก บ้านโนนทัน บ้านผักอีตู่ บ้านนองกกคูณบ้านนาสะเดา บ้านโนนทันกลาง ตำบลหนองฮี บ้านนาเชือก ตำบลหนองเพาใหญ่ บ้านวังม่วง ตำบลมหาชัย<br /><span style="color:#3333ff;">วิธีการดำเนินชีวิตของชาวกะเลิง</span> เหมือนกับชาวอีสานทั่วไป คือ ยึดถือฮึดสิบสอง ครองสิบสี่ เป็นหลักในการดำเนินชีวิต และมีคติความเชื่อถือในเรื่องผี นับถือผีเหลักหลักบ้าน วิญญาณบรรพบุรุษ ผีตาแหก ผีป่า ผีเขา ประเพณีที่ชาวกะเลิง บ้านกุรุคุ จัดทำเป็นงานบุญยิ่งใหญ่ คือ บุญเผวส (เทศน์มหาชาติ) ซึ่ง3ปี จะจัดให้มีขึ้นครั้งหนึ่ง เพราะสิ้นเปลืองค่าใช่จ่ายมากนอกจากนี้ก็มีประเพณีเลี้ยงผีซึ่งจัดเป็นประจำทุกปี<br />สมัยก่อน นิยมสักเป็นรูปนกที่แก้มดังผญาว่า สักนกน้อยงอย แก้มตอดขี้ตาสักนกน้อยงอยแก้มจั่งงาม ปัจจุบันยังพบชายชาวกะเลิง สักลายที่ขา และตัวบางแต่ก็มีการสักรูปนกที่แก้ม ชายชาวกะเลิงในปัจจุบันแต่งกายเหมือนชายชาวอิสารทั่วไป หญิงชาวกะเลิงในสมัยก่อนแต่งกายโดยนุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่มีเชิง ไม่สวมเสื้อ ใช้แพเบี่ยงโต่งในเวลามีงานปกตินิยมเปลือยหน้าอกซึ่งเรียกว่า ปละนม ไว้ผมยาว และผมมวยสวมกำไลข้อมือ ข้อเท้า และตุ้มหูเงิน นิยมทัดดอกไม้ ประเทืองผมด้วยขมิ้น ทาหน้าด้วยหัวกลอยและข้าวสาร บางคนนิยมเอสขี่มาถูฟันให้ดำงาม สวมรองเท้าที่ประดิษฐ์เองมาวัสดุในท้องถิ่น เช่น ไม้ หนังสัตว์ กาบหมาก<br />ภาษากะเลิงจัดอยู่ในตระกูลภาษาไท เช่นเดียวกับภาผู้ไทย ภาษากะเลิงไม่มี ฟ ใช้ พ แทน เช่น ไพพ้า (ไฟฟ้า) ไม่มี ฝ ใช้ ผ แทน เช่น ผาด (ฝาด) ไม่มี ร ใช้ ล แทน ฮ แทน เช่น ลำ (รำ) ฮกเฮื้อ (รกเรื้อ) ไท่ที ช ใช้ซ แทน เช่น ซม (ชม) มีอักษรควบใช้เป็นบางคำ เช่น ขว้าม (ข้าม) สวาบ (สวบ) กินอย่างมูมมาม เช่น หมูสวาทฮำทวาย (ทวย)<br />ภาพสะท้อนที่แสดงออกถึงค่านิยม คติความเชื่อ วิถีการดำเนินชีวิต และศักยภาพของชาวกะเลิงบ้านกุรุคุ จะเห็นได้จากผญา เพลงพื้นเมือง นิทานพื้นบ้าน<br /><br /></span><span style="color:#3333ff;">๕. ไทยโส้<img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 239px; DISPLAY: block; HEIGHT: 266px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424977821520353410" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgQ0GXZpJT1MTf-Mps3iAFjjSXMVvsWOwmVBw1ly3TGizyCjyGLGRVknRi8vBNVM8X5tgPsiUUoRe9GgWC8WmFMomebC7lWyeyuNo_lm5ZRA4-1mSjytc4ZG6CPzHtM-ZTJaqNX0Xp1jKyp/s320/%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B9%82%E0%B8%AA%E0%B9%89.jpg" /></span> <span style="color:#33cc00;">ถิ่นเดิมอยู่ที่เมืองมหาชัย ก่องแก้ว และแขวงเมืองคำม่วน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อพยพเข้ามาอยู่ในภาคอีสาน สมัยรัชกาลที่ ๓ หลังปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ เป็นเผ่าที่มีความเชื่อ และความศรัทธาในบรรพบุรุษ มีพิธีกรรมที่สำคัญคือ พิธีโส้ทั่งบั้ง อาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านพะทาย หนองเทา และบางส่วนที่อำเภอศรีสงคราม และอำเภอโพนสวรรค์<br />เผ่าไทยโส้หรือไทยกะโซ่<br />ชาวไทยโส้ในพื้นที่จังหวัดนครพนม เป็นชาวไทยตระกูลเดียวกันกับพวกบรู หรือพวกไทยข่า นักมนุษย์วิทยาถือว่าพวกไทยโซ่เป็นชาติพันธุ์ของมนุษย์ ในกลุ่มมองโกเลียด์ มีภาษาขนบธรรมเนียบประเพณีแตกต่างไปจากพวกไทยข่า แต่ภาษานั้นถือว่า อยู่ในตะกูลออสโตรอาเซียติดสาขามอญเขมรหรือตะตู ซึ้งสถาบันวิจัยภาษาฯ ของมหาวิทยาลัยมหิดนได้รวบรวมไว้บดความเรื่อภาษาตระกูลไทย<br />พวกกะโซ่ซึ่งอพยพเข้ามาในสมัยราชการที่ ๓ ได้ตั้งขึ้นเป็นเมืองหลายเมือง คือ เมืองรามราช เป็นชาวกะโซ่จากเมืองเซียงฮ่ม ในแขวงสุวรรณเขต ตั้งขึ้นเป็นเมืองรามราช ขึ้นกับเมืองนครพนม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๗ โปรดเกล้าฯ ตั้งให้ท้าวบัว แห่งเมืองเชียงฮ่ม เป็นพระทัยประเทศ เป็นเจ้าเมืองเป็นคนแรก ปัจจุบันเป็นพื้นที่รามราช ตำบลพระทาย ตำบลท่าจำปา อำเภอท่าอุเทน ตำบลโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนมเป็นหมู่บ้านชาวไทยโส้<br />นอกจากนั้นยังมีชาวไทยโส้อยู่ในท้องที่อำเภอปลาปาก จังหวัดนครพนมอีหลายหมู่บ้าน เช่น ตำบลโคกสูง และบ้านวังตามัว ในท้องที่อำเภอเมืองนครพนม<br />ศิลปะ วัฒนธรรมกะโส้ซึ่งรักษาไว้เป็นเอกลักษณ์ประจำเชื่อชาติ ที่เด่นชัดก็คือโซ่ทั่งบั้ง หรือภาษากะโซ่เรียกว่า สะลา เป็นพีการในการบวงสรวงวิญญาณของบรรพบุรุษประจำปีหรือเรียกขวัญและรักษาคนป่วย กับพิธี ซางกระมูด ในงานศพ<br /><span style="color:#ff6666;">๑. พิธีกรรม</span> โซ่ทั่งบั้ง เป็นภาษาชาวไทยอีสานเรียกชื่อพิธีกรรมของชาวกะโซ่คำว่าโซ่ หมายถึง พวกกะโซ่ คำว่าทั่ง แปลว่ากระทุ้ง หรือกระแทก คำว่าบั้ง หมายถึงบ้องหรือกระบอกไม้ไผ่ โซ่ทั่งบั้ง ก็คือ การใช้บอกไม่ไผ่ยาวประมาณ ๓ ปล้อง กระทุ้งดินให้เป็นจังหวะและมีผู้ร่ายรำและร้องรำไปตามจังหวะในพิธีกรรมของชาวกระโซ่ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เมื่อครั้งสมเด็จตรวจราชการมณฑลอุดร เมื่อสมเด็จถึงเมืองกุสุมาลย์ (อำเภอกุสุมาลย์ จังหวัดสกลนคร) เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ได้ทรงบันทึกการแสดงโซ่ ทั่งบั้งหรือสะลาไว้ว่า<br />สลามีหม้อดินตั้งกลางแล้วมีคนต้นบทคนหนึ่ง คนสะพายหน้าไม้ และลูกสำหรับยิงคนหนึ่ง คนตีฆ้องเรียกว่าพระเนาะคนหนึ่งคนถือไม้ไผ่สามปล้องสำหรับกระทุงดิน รวมแปดคน เดินร้องรำเป็นวนเวียนไปมา พอพักหนึ่งก็ดื่มอุและร้องรำต่อไป...<br />เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชการปัจจุบันได้เสด็จเยี่ยมพสกนิกรจังหวัด นครพนม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ ซึ่งจังหวัดมุกดาหารยังรวมอยู่ในจังหวัดนครพนม ชาวไทยกะโซ่<br />ได้แสดงโส้ปั้งหรือสะลาทอดพระเนตรพร้อมกับร้องคำถวายพระพรเป็นภาษากะโซ่ว่า เซินตะดกละแสง เซินแต่แซงมะนาง เซินยอนางเอย ดรุ๊กอีตู จูเยก ยางเอย ดรุ๊กอีตูจูเยอวายเอย<br />ไฮพัดกระกมติตอนจิรอ ไฮพัดระพอดิตรอนอิตูด ตะรงยางเอย<br />ระกบเจ้ากวงมานะ วอนเบาแบนเราะ เนออาญาเฮาเอย<br />สะโอนเนาต๊กยะ วอนเบาแบนเราะ ดูกรองวไดเดอกะนางไฮเอย<br />คำแปล ขอเชิญสิ่งศักดิ์สิทธ์ขุนเขา ขอเชิญแสงตะวันอันแรงกล้า เชิญเถิดขอให้สิ่งศักดิ์สิทธ์ จงมาให้ขวัญทั้งหลายจงมาร่วมกัน ณ ที่นี้ สิ่งศักดิ์ทั้งหลายเอย ขอให้มาคุ้มครองสองเจ้าเหนือหัว ขอให้พระองค์อยู่ดีมีสุขเถิดพระเจ้า<br />เราเอย ขอให้อย่ามีทุกข์และความเดือดร้อน ขอให้พระองค์อยู่ดีมีสุขอยู่คู่เมืองไทย ปกป้องคุ้มครองพวกทั้งหลายตลอดไปเทอญ<br /><span style="color:#ff6666;">2. พิธีซางกระมด</span> เป็นพิธีกรรมก่อนนำศพลงจากเรือน คำว่า ซาง หมายถึง การกระทำหรือการจัดระเบียบ กระมด แปลว่า ผี ซางกระมด หมายถึง การจัดพิธีเกี่ยวกับคนตายชาวกระโซ่ถือว่า เมื่อคนตายไปแล้วจะเป็นผีดิบ จึงต้องกระทำพีซางกระมดเสียก่อน เพื่อให้ผีดิบและวิญญาณของผู้ตายได้สงบสุข มิฉะนั้นอาจทำให้ญาติพี่น้องเกิดเจ็บป่วยขึ้นได้<br /><br />อุปกรณ์ในพิธีซางกระมดประกอบด้วย ขันโต(ขันกระหย่อง) สานด้วยไม้ไผ่สองใบ เป็นภาชนะใส่อุปกรณ์ต่างๆ<br />มีไม้ไผ่สานเป็นรูปจักจั่น 4 ตัว แทนวิญญาณของผู้ตาย นอกจากนี้ยังมีพานสำหรับยกครู (คาย) ประกอบด้วยขันธ์ 5 เทียน<br />5 คู่ ดอกไม้สีเขียว เช่น ดอกลั่นทม 5คู่ เงินเหรียญ 12 บาท ไข่ดิบ 1 ฟอง ดาบโบราณ 1 เล่ม ขันหมาก 1 ขัน<br />มีดอกไม้อยู่ในขันหมาก 1 คู่ พร้อมด้วยบุหรี่ และเทียนสำหรับทำพีอีกหนึ่งเล่ม ล่ามหรือหมอผีจะเป็นผู้กระทำพิธีและสอบถามวิญญาณของผู้ตายได้สงบสุข เมื่อทราบความต้องการของวิญญาณแล้วญาติก็จะจัดสิ่งของไว้บวงสรวงวิญญาณ<br /><br /><span style="color:#ff6666;">3.พิธีเหยา</span> ในการรักษาคนป่วยหรือเรียกขวัญคล้ายๆ กับพิธีของชาวไทยอีสานทั่วไป เพื่อเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วยหรือการเรียกขวัญ โดยหมอผีจะทำหน้าที่เป็นล่ามสอบถามวิญญาณของบรรพบุรุษ<br />ชาวไทยกะโซ่มีผิวกายที่ดำคล้ำเช่นเดียวกับพวกข่า สมเด็จกลมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงการแต่กายของชาวกะโซ่ไว้ในหนังสือเรื่องเที่ยวที่ ต่างๆ ภาค ๔ เมื่อเสด็จภาคอีสานเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๙ ไว้ว่า ....ผู้หญิงไว้ผมสูงแต่งตัวนุ่งซิ่นสวมเสื่อแขนกระบอกย้อมครามห่มผ้าแถบ ผู้ชายแต่กายอย่างคนเมือง แต่เดิมนุ่งผ้าเตี่ยวไว้ชายข้างหน้า ชายหนึ่ง<br /><br /><br /><span style="color:#3333ff;">๖. ไทยข่า</span> เป็นชาวพื้นเมืองเผ่าหนึ่ง ที่อาศัยปะปนอยู่กับไทยกะเลิง ไทยโซ่ (โส้) และไทยลาว ซึ่งปัจจุบันนี้ถูกกลืนเกือบกะหมดแล้ว เดิมไทยข่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในแขวงสุวรรณเขต แขวงสาละวันและแขวงอัตปือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อพยพมายังประเทศไทยในรัชกาลที่ ๓ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ชาวไทยข่าที่พอจะมีหลักฐานบ้างอาศัยปะปนกับไทยโซ่ (โส้) ในจังหวัดนครพนม เช่น หมู่บ้านคำเตย ตำบลท่าจำปา อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม<br />ไทยข่า<br />ไทยข่าเป็นชาวไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังพอมีหลงเหลือบ้างในพื้นที่จังหวัดนครพนมแต่ไม่ปรากฏให้เป็นเป็นชุมชนชัดเจนจะมีเพียงครอบครัวที่แทรกอยู่ในชุมชนอยู่ในพื้นที่อำเภอนาแกตามหมู่บ้านแถบเทือกเขาภูพาน ซึ่งเป็นรอยต่อกับอำเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร อำเภอดงหลวง จะมีชาวข่าอาศัยอยู่มาก ในอดีดจังหวัดมุกดาหารเป็นอีกอำเภอหนึ่งที่ขึ้นต่อจังหวัดนครพนมรวมถึงอำเภอดงหลวงด้วย ปัจจุบันอำเภอมุกดาหารได้เลื่อนเป็นจังหวัด และอำเภอดงหลงก็ไปขึ้นเป็นสังกัดมุกดาหารด้วย ชุมชนไทยข่าในจังหวัดนครพนมจึงไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด จึงมีเพียงกระจัดกระจายเป็นบางครอบครัวในชุมชนต่างๆ ดังกล่าวมาแล้ว<br />ไทยข่ามีถิ่นดั้งเดิมอยู่แขวงสุวรรณเขตสาละวัน และอัตปือ ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และได้อพยพเข้ามาอยู่ในพื้นที่ประเทศไทยตั้งแต่สมัยราชการที่ ๓ เป็นต้นมา<br />นักมนุษย์วิทยาถือว่า ชาวไทยข่าเป็นเผ่าดั้งเดิมในแถบกลุ่มแม่น้ำโขง สืบเชื้อสายมาจากขอมโบราณภายหลังขอมเสื่อมอำนาจลง ภาษาของชาวไทยข่าเป็นภาษาในตระกูลออสโตรอาเชียติก ในสขามอญเขมร ชาวไทยข่ามิได้เรียกตัวเองว่าชาวไทยข่า แต่จะเรียกตัวเองว่าพวกบรู<br />คำว่า ข่า อาจมาจาก ข้าทาส ซึ่งสำเนียงอีสานจะออกเสียง ข่าทาส เนื่องจากในสมัยราชการที่ ๕ มีการจัดพวกบรูมาเป็นข้าทาสรับใช้กันมาก จึงเรียกกันมาว่าไทยข่า<br />จารีตประเพณีของชาวข่าที่น่าศึกษา<br />การสู่ขอฝ่ายชายมีล่าม ๔ คน (ชาย ๒ คน หญิง ๒ คน) เทียน ๔ เล่ม และเงินหนัก ๕ บาท การแต่งงานมีเหล้าอุ ๒ ไห ไก่ ๒ ตัว ไข่ ๘ ฟอง เงินหนักสองบาท หมูหนึ่งตัว และกำลัยเงิน ๑ คู่<br />การกระทำผิดจารีตประเพณี (ผิดผี) เช่น ห้ามลูกสะใภ้เข้าห้องนอนพ่อผัว ห้ามลูกสะใภ้รับของจากพ่อผัว ห้ามลูกเขยเข้าออกพายในบ้านจากห้องหนึ่งไปยังอีกห้องหนึ่ง หรือลูกเขยพกมีดพร้า สวมหมวกขึ้นบ้านพ่อตา หรือกินข้าวรวมกับแม่ยาย หรือรับของจากแม่ยาย การผิดผีหรือผิดจารีตประเพณีเช่นนี้ลูกเขยจะต้องใช้เงิน ๕ บาท หมู ๑ ตัว ดอกไม้ทูปเทียน ๒ คู่ หากเป็นลูกสะใภ้ ต้องใช้ผ้าขาวม้า ๑ ผืน ผ้าซิ่น ๑ ผืน และแก้การผิดผีโดยใช้บุหรี่ ซึ่งม้วนด้วยใบตอง ๒ ม้วน หมากพลู ๒ คำ นำไป ขอคารวะต่อผีของบรรพบุรุษที่มุมเรือนด้านทิศตะวันออกหรือที่เตาไฟ<br /><br /><span style="color:#3333ff;">๗. ไทยลาว (ไทยอีสาน)</span> เป็นประชากรกลุ่มใหญ่ พูดภาษาไทย-ลาว (ภาษาอีสานป เป็นกลุ่มผู้นำทางด้านวัฒนธรรมภาคอีสาน เช่น ฮีต คอง ตำนาน อักษรศาสตร์ จารีตประเพณี นิยมตั้งหมู่บ้านเป็นกลุ่ม บนที่ดอนเรียกตามภาษาท้องถิ่นว่า "โนน" ยึดทำเลการทำนาเป็นสำคัญ อาศัยอยู่ทั่วไป<br /><br /><br /></span><span style="color:#ff6666;">ไทยกุลา<br /></span><br /><span style="color:#3333ff;">คำว่า "กุลา" มาจากภาษาพม่าซึ่งแปลว่าคนต่างถิ่น กุลาคือพวกเงี้ยวหรือพวกรองซู่ใน รัฐไทยใหญ่ของพม่า พวกเงี้ยวหรือตองซู่เมื่อเดินทางมาค้าขายในภาคอีสานถูกชาวอีสานตั้ง ชื่อให้ใหม่ว่า "กุลา" คือคนต่างถิ่น กุลาชอบเดินทางมาค้าขายในหัวเมืองภาคอีสานแถบลุ่มแม่น้ำโขง ในสมัยโบราณเป็นจำนวนมากจนมีชื่อเป็นอนุสรณ์ว่า "ทุ่งกุลาร้องไห้"<br /></span><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDbDKGUT_UhMkdc_P73x9wKgqVssztA1T8pz0kt_uxRW-vEWkwhxMlOHOJI378gbaDc8VEP8ijAiaIJKCBNCXsArOJgKcbB6_X6AmXV9Z0C-W1iAb70QxZSdXgt8lk9UOKDyH_lqdnZGph/s1600-h/thaikula1.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 275px; DISPLAY: block; HEIGHT: 176px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424969674490557570" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgDbDKGUT_UhMkdc_P73x9wKgqVssztA1T8pz0kt_uxRW-vEWkwhxMlOHOJI378gbaDc8VEP8ijAiaIJKCBNCXsArOJgKcbB6_X6AmXV9Z0C-W1iAb70QxZSdXgt8lk9UOKDyH_lqdnZGph/s320/thaikula1.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /><span style="color:#3333ff;">ชาวกุลาชอบเร่ร่อนค้าขายโดยนำ เอาผ้าแพรพรรณหรือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิตตลอดทั้งเครื่องทองเหลือง เช่น ฆ้อง, มีดดาบ ฯลฯ มาเร่ขายในภาคอีสานโดยเฉพาะแถบลุ่มแม่น้ำโขงแล้วซื้อวัวควายต้อนกลับไปพม่า กุลาบางพวก ได้ตั้งรกรากและแต่งงานกับชาวผู้ไทยหรือชาวอีสาน เช่นที่ตำบลแสนพัน อำเภอธาตุพนม, อำเภอเรณูนครหลายหมู่บ้านและที่อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร จนมีบุตรหลานสืบเชื้อสายต่อมา กุลาเหล่านี้มีสัญชาติและอยู่ในบังคับของอังกฤษเมื่อมีคดีความเกิดขึ้นต้องรายงานให้สถานทูตอังกฤษทราบทุกครั้ง</span><br /><br /><span style="color:#3333ff;">ผู้ชายกุลามีรูปร่างสูงใหญ่ ชอบนุ่งโสร่งหรือไม่ก็นุ่งกางเกงขายาวปลายบานและโพกศีรษะทรงสูง เมื่อ พ.ศ.2446 ชาวกุลาหรือเงี้ยวมาค้าขายฝิ่นอยู่ในเขตเมืองหนองสูงเป็นจำนวนมากโดยได้แต่ง งานกับผู้หญิงชาวผู้ไทยและตั้งรกรากอยู่ที่บ้านขุมขี้ยางในปัจจุบันต่อมาพวกกุลาซึ่งถือสัญชาติอังกฤษ ไม่เคารพต่อกฏหมายของบ้านเมืองได้ก่อการจลาจลขึ้นที่ทุ่งหมากเฒ่าเขตเมืองหนองสูงซึ่งขึ้น กับเมืองมุกดาหาร จนทางเมืองมุกดาหารต้องขอกำลังจากมณฑลอุดรมาสมทบเพื่อช่วยปราบปราม ปัจจุบันทุ่งหมากเฒ่าและบ้านขุมขี้ยางตัดโอนไปขึ้นกับเขตอำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์แล้ว แต่ก็ยังมีลูกหลานเชื้อสายของชาวกุลาอยู่ในท้องที่อำเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหารอีกเป็นจำนวนมาก<br /><br /></span></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbh9MUjRWaFngojxE1blz3osfAEOfhWgRhkqa3DSHZlktTEt6Ywifj4hpctzn8qcl39LTCSbJShLR6kog-uvsdobrXna94o9EIDMHKCQjLHVINgP4FDsEzMEAs76NiWOMXECclbtcwikkT/s1600-h/thaikula2.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 184px; DISPLAY: block; HEIGHT: 185px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424969948750023874" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbh9MUjRWaFngojxE1blz3osfAEOfhWgRhkqa3DSHZlktTEt6Ywifj4hpctzn8qcl39LTCSbJShLR6kog-uvsdobrXna94o9EIDMHKCQjLHVINgP4FDsEzMEAs76NiWOMXECclbtcwikkT/s320/thaikula2.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /></strong></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /><span style="color:#33cc00;">แหล่งที่มาของข้อมูล<br /><br />http://www.thatphanom.com/pe_002.php<br />http://www.thatphanom.com/pe_008.php<br />http://www.google.co.th/search?hl=th&source=hp&q=+%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%AD&btnG=%E0%B8%84%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%A2+Google&meta=&rlz=1R2AMSA_en&aq=null&oq=<br />http://www.mapculture.org/mambo/index.php?option=com_content&task=view&id=584&Itemid=56</span></strong></span>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-52857785878434543452010-01-09T20:22:00.000-08:002010-01-09T20:33:46.461-08:00อาชีพของชาวอีสาน<span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>คลิป การทำไร่ ทำนา และการทอผ้าไหม</strong></span><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#ff6600;"><strong>การทำนาดินเค็ม</strong></span><br /><br /><object width="340" height="285"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/OqL10Acf8T0&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/OqL10Acf8T0&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="340" height="285"></embed></object><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#33cc00;"><strong>การทำนาข้าว<br /></strong></span><br /><object width="340" height="285"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/PBseALZQL6s&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/PBseALZQL6s&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="340" height="285"></embed></object><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#33cc00;"><strong>การทำนาแบบโยนกล้า<br /></strong></span><br /><object width="340" height="285"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/C9FmU7wN5NI&hl=en_US&fs=1&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/C9FmU7wN5NI&hl=en_US&fs=1&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="340" height="285"></embed></object><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong>Sae Soa Mai at Luang Namtha</strong></span><br /><br /><object width="340" height="285"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/Ubz-FGgCltY&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/Ubz-FGgCltY&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="340" height="285"></embed></object><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#33cc00;"><strong>การปลูกมันสำปะหลัง<br /></strong></span><br /><object width="340" height="285"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/5iKUPxM7Sr0&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/5iKUPxM7Sr0&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="340" height="285"></embed></object><br /><br /><br /><span style="color:#3333ff;">แหล่งที่มาของข้อมูล<br /><br />http://www.youtube.com/watch?v=OqL10Acf8T0<br /></span><a href="http://www.youtube.com/watch?v=C9FmU7wN5NI&feature=PlayList&p=6099E329A7AD4343&playnext=1&playnext_from=PL&index=104"><span style="color:#3333ff;">http://www.youtube.com/watch?v=C9FmU7wN5NI&feature=PlayList&p=6099E329A7AD4343&playnext=1&playnext_from=PL&index=104</span></a><br /><span style="color:#3333ff;">http://www.youtube.com/watch?v=XxS8hfv1-EE<br />http://www.youtube.com/watch?v=Ubz-FGgCltY</span>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-91842092418483573152010-01-09T19:49:00.000-08:002010-01-09T20:21:21.688-08:00อาชีพหลักของชาวอีสาน<span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ff0000;"></span><span style="font-size:180%;"><span style="color:#ff0000;"><span style="font-size:130%;">อาชีพหลักของคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ</span><br /></span></span><br /><span style="color:#ff6666;">ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเขตหรือภาคหนึ่ง ของไทย ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช</span><br /><span style="color:#3333ff;"></span></strong></span><br /><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#3333ff;">บทนำ<br /></span></strong><span style="color:#009900;"><strong>ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเขตหรือภาคหนึ่ง ของไทย ตั้งอยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 170,226 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ หนี่งในสาม ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย มีเทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง และภูกระดึง เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำมูล<br /><br /></strong></span><br /></span><span style="font-family:arial;"><p></span></p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhb2oLm3QqNK81I2bnM3QMXEghm9MCrPLgB3aZLdxKt0v-TxvH4ntfC40ZOMrwq_MHIZ6lX0Liu0O-GVwJxSqgFpkcwNbuy766wf4jE7EqcHaVCQ_HwE-1mPXDt8jhAjupbQWscAnLBEbzc/s1600-h/MapThai.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 321px; DISPLAY: block; HEIGHT: 339px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424954836032060082" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhb2oLm3QqNK81I2bnM3QMXEghm9MCrPLgB3aZLdxKt0v-TxvH4ntfC40ZOMrwq_MHIZ6lX0Liu0O-GVwJxSqgFpkcwNbuy766wf4jE7EqcHaVCQ_HwE-1mPXDt8jhAjupbQWscAnLBEbzc/s320/MapThai.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /><span style="color:#ff0000;">การเกษตรนับเป็นอาชีพหลักของภาค</span> </strong><span style="color:#33cc00;"><strong>แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทางด้านสังคมเศรษฐกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคอื่นๆ<br />ชาวอีสานส่วนใหญ่มีอาชีพทางเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนา เพราะฉะนั้นหลังฤดูการเก็บเกี่ยวชาวอีสานก็จะว่างจากการทำงานก็จะทำอาชีพรอง เช่น การทอผ้า การจักสาน การทอเสื่อ ฯลฯ ซึ่งพอจะทำให้มีรายได้เสริมเพิ่มขึ้นได้ อาชีพรองที่ชาวอีสานทำกันในแทบทุกจังหวัดของภาคอีสาน คือ การทอผ้า ดังนั้นชุดฟ้อนของภาคอีสานจึงมีชุดฟ้อนศิลปาชีพที่เกี่ยวกับการทอผ้ามากที่สุด เช่น รำตำหูกผูกขิด เซิ้งสาวไหม ฟ้อนเก็บฝ้าย ฟ้อนเข็นฝ้าย และฟ้อนแพรวา ฟ้อนอาชีพจึงเป็นการอนุรักษ์อาชีพของชาวอีสาน และเป็นการเผยแพร่ให้คนในท้องถิ่นอื่นเห็นความสำคัญของหัตถกรรมพื้นบ้านอีกด้วย ฟ้อนศิลปาชีพอีสานมีหลายชุดด้วยกัน<br /><br /></strong></span></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiD76agplpruElw8XgW2zN_jDLuJ7AfLZ6cdCdF044T9RkGubcJL9yKpc8qUc6l1jt0a_TsAjenyq20P42PtAwCcTKQK96eH7e3gm-rtEURhPpORX3pB-Ji7Kb_Aa_VkzRlekih7XrwaLhT/s1600-h/farmer_thai.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 413px; DISPLAY: block; HEIGHT: 117px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424957621031150338" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiD76agplpruElw8XgW2zN_jDLuJ7AfLZ6cdCdF044T9RkGubcJL9yKpc8qUc6l1jt0a_TsAjenyq20P42PtAwCcTKQK96eH7e3gm-rtEURhPpORX3pB-Ji7Kb_Aa_VkzRlekih7XrwaLhT/s320/farmer_thai.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-v10eFrHD9lLYOXOzwHjENP95WjXBvqnnKkn07VDFdX22BXlgiD8U6OWyMAumja7lbIpNG5CaQMsI7pZnPyRF3K6-RoZGtUIQq0MtfbYQcCGW4D_MYRSa91UqUq-vhSrHU1KuNAn5DIK0/s1600-h/farmer_thai_2.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 435px; DISPLAY: block; HEIGHT: 139px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424958057796551346" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-v10eFrHD9lLYOXOzwHjENP95WjXBvqnnKkn07VDFdX22BXlgiD8U6OWyMAumja7lbIpNG5CaQMsI7pZnPyRF3K6-RoZGtUIQq0MtfbYQcCGW4D_MYRSa91UqUq-vhSrHU1KuNAn5DIK0/s320/farmer_thai_2.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /><span style="color:#ff0000;">อาชีพทำนา<br /></span></strong><br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6e5R3TrwIBzNAjeD-cx_kEiGiyOi1iz554tuuzU3x5SMTbQfI2GrhMi4ucD7azi5wTlvU2SzM178GUVQqAjsPWPF_3A_T9II3mCVigaNg6j3Sov4uIKUjKhtMMMRd4aVC5C7DFvXkB_pV/s1600-h/dumna.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 212px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424955911052976594" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6e5R3TrwIBzNAjeD-cx_kEiGiyOi1iz554tuuzU3x5SMTbQfI2GrhMi4ucD7azi5wTlvU2SzM178GUVQqAjsPWPF_3A_T9II3mCVigaNg6j3Sov4uIKUjKhtMMMRd4aVC5C7DFvXkB_pV/s320/dumna.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2HcHsTZVfjcchFyFhCizcs28wfpYYyZDMW6UbIJ1SLhQS8t5cXnpzreaYrWL3AclMSLJGip9sA9q2BzlqkNtehoJ9-q8MifNjLoyiO03Ux5-FUxAXGGRUye9cO4iIVJtEbYpAyXfLu6Ju/s1600-h/F2605.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 234px; DISPLAY: block; HEIGHT: 224px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424956166649463890" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2HcHsTZVfjcchFyFhCizcs28wfpYYyZDMW6UbIJ1SLhQS8t5cXnpzreaYrWL3AclMSLJGip9sA9q2BzlqkNtehoJ9-q8MifNjLoyiO03Ux5-FUxAXGGRUye9cO4iIVJtEbYpAyXfLu6Ju/s320/F2605.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVApCVf6Q8Hc3k8iH5lb7fgSykqLW_7GolbxT96vqD96l9hbDY7vs6n79GGEU1x95cIjzAp7qnc2TYZ-DxhIIID-6WwOPcQDhc3mxQuNX_9NtfvVI05v9RZ6Od9ilOXaifRtDi5374OgDW/s1600-h/l13-46b.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 190px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424956372507658610" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhVApCVf6Q8Hc3k8iH5lb7fgSykqLW_7GolbxT96vqD96l9hbDY7vs6n79GGEU1x95cIjzAp7qnc2TYZ-DxhIIID-6WwOPcQDhc3mxQuNX_9NtfvVI05v9RZ6Od9ilOXaifRtDi5374OgDW/s320/l13-46b.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOkj73nXE1YNy3JVcFeKXVry2jgzm3M7-Mq8mJSQUbkrA3e9VV-9Ou8Kdh2i2ZWv7o4odDnH4whBD5uVsfsxJzW0g6oXGlPcrQWZvxosPhNaqxLwB1XtBTw030yYnZuFTla2Tpr-9uocyZ/s1600-h/resize_b13p48.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 197px; DISPLAY: block; HEIGHT: 169px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424956566682556370" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOkj73nXE1YNy3JVcFeKXVry2jgzm3M7-Mq8mJSQUbkrA3e9VV-9Ou8Kdh2i2ZWv7o4odDnH4whBD5uVsfsxJzW0g6oXGlPcrQWZvxosPhNaqxLwB1XtBTw030yYnZuFTla2Tpr-9uocyZ/s320/resize_b13p48.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /><span style="color:#ff0000;">การทำไร่<br /></span><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjx9I0xZezqwdanl2w4XQbXrC6ZhUh96YQ7yd2sDV-QEFSAhrZ3Af648vpcX-XOJOtDovYvQhGYNrXOq5h-ZJqUltvZY4djhSqGLEZcn63WeIftvVPL4qwdlNFs12gfwe5DPiVxFkRP8aNg/s1600-h/mun1.jpg"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 291px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424958627687756546" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjx9I0xZezqwdanl2w4XQbXrC6ZhUh96YQ7yd2sDV-QEFSAhrZ3Af648vpcX-XOJOtDovYvQhGYNrXOq5h-ZJqUltvZY4djhSqGLEZcn63WeIftvVPL4qwdlNFs12gfwe5DPiVxFkRP8aNg/s320/mun1.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /><span style="color:#ff6600;">มันสำปะหลัง (Cassava : Manihot esculenta) พืชอาหารของไหมป่าอีรี่ กำลังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นจากพืชอาหารสัตว์ กลายมาเป็นพืชพลังงานที่สำคัญในการผลิต “เอทานอล” เพื่อใช้ผสมกับน้ำมันเบนซิน เรียกว่า “แก็สโซฮอล์” เพื่อลดการสูญเสียเงินตราให้ต่างประเทศ จากการนำเข้าน้ำมันซึ่งนับวันจะมีราคาแพงมากยิ่งขึ้น โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติในหลักการของโครงการผลิตแอลกอฮอล์จากพืช เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2548 ต่อมาในปี 2545 กระทรวงอุตสาหกรรมได้มีการพิจารณาอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิต และจำหน่ายเอทานอลเป็นน้ำมันเชื้อเพลิง โดยใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบ 4 โรงงาน ใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ 4 โรงงาน บริษัท ผลิตเอทานอล จากมันสำปะหลัง 1โรงงาน ที่มีกำลังการผลิต 130,000 ลิตรต่อวัน ทำงาน 330 วันต่อปี ใช้หัวมันสำปะหลัง 750 – 800 ตันต่อวัน หรือประมาณ 250,000 ตัน ต่อปี ต้องใช้พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังถึง 100,000 ไร่ ทราบว่ากำลังมีการขออนุญาตจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอลจากมันสำปะหลังและอ้อยอีก 18 โรงงานถ้าเป็นโรงงานที่ใช้มันสำปะหลังอีก 50 % หรือ 9 โรงงาน จะต้องใช้พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังถึง 900,000 ไร่ รวมเป็น 1 ล้านไร่ ในขณะที่ประเทศมีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลัง 6.9 ล้านไร่ ในปี 2547 เพื่อใช้เป็นอาหารสัตว์ และผลผลิตส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการส่งออก ดังนั้นถ้าเราต้องการปลูกมันสำปะหลังเพื่อผลิตเอทานอล และอาหารสัตว์ดังกล่าว จะต้องใช้พื้นที่ ประมาณ 8 ล้านไร่ พื้นที่ปลูกมันสำปะหลังส่วนใหญ่อยู่ในภาคอีสานและภาคตะวันออก สำหรับจังหวัดมหาสารคาม มีพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังรวมทั้งสิ้น 336,798 ไร่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะมีใบมันสำปะหลังเป็นผลพลอยได้เพื่อใช้เลี้ยงไหมป่าจำนวนมหาศาล จากการศึกษาพบว่าถ้าเราเก็บใบมันสำปะหลังน้อยกว่า 30 % ของใบทั้งหมดที่อยู่บนต้นจะไม่มีผลกระทบต่อผลผลิต หัวมันสำปะหลัง การเลี้ยงไหมป่า 20,000 ตัว (1 กล่อง) จะใช้ใบมันสำปะหลัง 600 – 700 กิโลกรัม (เก็บจากแปลงมันสำปะหลัง 2 ไร่) สามารถเลี้ยงได้ 3 ครั้ง ต่อปี ดังนั้นถ้าเราเลี้ยงไหมป่าอีรี่ จากพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังเพียง 1 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมดหรือ 2 ล้านไร่ จะเลี้ยงไหมป่าได้ถึง 1 ล้านกล่องต่อครั้ง หรือ 3 ล้านกล่องต่อปี ได้ผลผลิตรังไหมป่าประมาณ 105,000 ตัน สาวเป็นเส้นใยได้ประมาณ 7,500 ตัน มูลค่า 7,500 ล้านบาท ในจังหวัดมหาสารคาม ถ้ามีการเลี้ยงไหมอีรี่ จากพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังเพียงครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมดจะได้ผลิตเส้นไหมป่า ประมาณ 884 ตัน มีมูลค่าถึง 884 ล้านบาท<br />ในอนาคตจึงคิดว่า การเลี้ยงไหมป่าอีรี่เป็นอาชีพเสริมของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง เป็นอาชีพหลัก เพราะการปลูกมันสำปะหลังเกษตรกรจะมีเวลาว่างมากพอระหว่างรอผลผลิตหัวมันสำปะหลังเพื่อเลี้ยงไหมป่า เมื่อมีความหวังในการสร้างเงินจากเรื่องนี้ ศูนย์นวัตกรรมไหม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม คงนิ่งดูดายไม่ได้ ที่จะใช้โอกาสนี้มาพัฒนาการเลี้ยงไหมป่าให้มีศักยภาพเพียงพอที่จะสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรในชุมชนต่างๆ ที่อยู่ท่ามกลางไร่มันสำปะหลัง อันกว้างใหญ่ของจังหวัดมหาสารคาม ร่วมสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชาวอีสานอย่างยั่งยืนอีกทางหนึ่ง<br /><br /></span><span style="color:#000099;">ทอผ้าไหม<br /></span><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcdtiPO-4_KjjFNFLofiRZSqiPGc-6h4i3RiRG8ksk1u49VWWN3zFSX8OdwtW-ynlrx3eYdon9VTPVmKgn9PRsAdtmNrLpvH33eO3RgW29_hzdP24MeH2KIK65ETcRqHG8FgYBoLlLXqpm/s1600-h/untitled.bmp"><span style="font-family:arial;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 224px; DISPLAY: block; HEIGHT: 227px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424959174478741330" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcdtiPO-4_KjjFNFLofiRZSqiPGc-6h4i3RiRG8ksk1u49VWWN3zFSX8OdwtW-ynlrx3eYdon9VTPVmKgn9PRsAdtmNrLpvH33eO3RgW29_hzdP24MeH2KIK65ETcRqHG8FgYBoLlLXqpm/s320/untitled.bmp" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;"><strong><br /><br /><br /><span style="color:#ff0000;">แหล่งที่มาของข้อมูล</span></strong></span><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ff0000;"><br /></span><a href="http://th.wikipedia.org/">http://th.wikipedia.org/</a> </strong></span><span style="font-family:arial;"><strong><br /><a href="http://www.konbaan.com/images/MapThai.jpg">http://www.konbaan.com/images/MapThai.jpg</a></strong></span><span style="font-family:arial;"><strong><br /><a href="http://sunsite.au.ac.th/ThaiInfo/TourismInThailand/Thailand76/Image/northeastmap.jpg">http://sunsite.au.ac.th/ThaiInfo/TourismInThailand/Thailand76/Image/northeastmap.jpg</a><br /></strong></span><span style="font-family:arial;"><strong><a href="http://www.thaingo.org/images2/F2605.jpg">http://www.thaingo.org/images2/F2605.jpg</a><br /></strong></span><span style="font-family:arial;"><strong><a href="http://guru.sanook.com/picfront/main/resize_b13p48.jpg">http://guru.sanook.com/picfront/main/resize_b13p48.jpg</a> </strong></span><span style="font-family:arial;"><strong><br /><a href="http://gotoknow.org/file/kruwoot/mun1.jpg">http://gotoknow.org/file/kruwoot/mun1.jpg</a></strong></span><br /><a href="http://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=154">http://www.sahavicha.com/?name=knowledge&file=readknowledge&id=154</a></p><p> </p>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-1603776417814506602010-01-09T05:17:00.000-08:002010-01-09T05:39:26.168-08:00อาหารอีสานเมนูอีสาน กุ้งเต้น<br /> กุ้งเต้น คืออาหารอีสาน ที่กุ้งยังไม่ตายแล้วเอามาทำอาห ารเลย <br /><br /><object width="300" height="300"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/g4CdOGk0rOA&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/g4CdOGk0rOA&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="300" height="300"></embed></object><br /><br /><br />เมนูส้มตำเผ็ดจัดจ้าน<br /><br /><object width="300" height="300"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/ZVcFwhT4iIs&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/ZVcFwhT4iIs&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="300" height="300"></embed></object><br /><br /><br /><br />เมนูขนมจีนน้ำยาป่า แบบอีสาน<br /><br /><object width="300" height="300"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/0mYx8Sn1Ono&hl=en_US&fs=1&color1=0x006699&color2=0x54abd6&border=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/0mYx8Sn1Ono&hl=en_US&fs=1&color1=0x006699&color2=0x54abd6&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="300" height="300"></embed></object><br /><br />ลาบหมู<br /><br /><object width="300" height="300"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/TARsbMRcyA4&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube.com/v/TARsbMRcyA4&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="300" height="300"></embed></object><br /><br />แหล่งที่มาของข้อมูล<br /><br />http://www.youtube.com/watch?v=TARsbMRcyA4&feature=related<br />http://www.youtube.com/watch?v=g4CdOGk0rOA<br />http://www.youtube.com/watch?v=oslnzG_QZn0&feature=relatednanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-26662678622077409382010-01-09T03:26:00.000-08:002010-01-09T05:17:21.571-08:00อาหารประจำภาคอีสาน<span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#000099;"><strong>อาหารประจำภาคอีสาน<br /></strong></span><br /><br /><br /><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpL8UDTnLSpy6D4koV39QaD2O4C10VKLwUTlRcYUfYEC5-8wmiq3M2AIE1G1XyGvznqE6bT7dMAYuLAo2Jwzmv3Lx56SFJW5RSUw14W008dEKWnc3vko2uv3f0-jmL0g8dU-xsykzVwkGj/s1600-h/northeastfood.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 341px; DISPLAY: block; HEIGHT: 241px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424701754977015554" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhpL8UDTnLSpy6D4koV39QaD2O4C10VKLwUTlRcYUfYEC5-8wmiq3M2AIE1G1XyGvznqE6bT7dMAYuLAo2Jwzmv3Lx56SFJW5RSUw14W008dEKWnc3vko2uv3f0-jmL0g8dU-xsykzVwkGj/s320/northeastfood.jpg" /></a><br /><br /><span style="color:#ff0000;"><span style="font-family:arial;font-size:130%;">อาหารภาคอีสาน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) มีรสชาติเด่น คือ รสเค็มจากน้ำปลาร้า รสเผ็ดจากพริกสด พริกแห้ง รสเปรี้ยวจาก ผักพื้นบ้าน เช่น มะขาม มะกอก<br />อาหารส่วนใหญ่มีลักษณะแห้ง ข้น มีน้ำขลุกขลิก แต่ไม่ชอบใส่กะทิ คนอีสานใช้ปลาร้าเป็นเครื่องปรุงอาหารแทบทุกชนิด เช่น ซุปหน่อไม้ อ่อม หมก น้ำพริกต่างๆ รวมทั้งส้มตำ</span><br /><br /></span><span style="color:#ff0000;"><span style="font-family:arial;"><strong>อาหารอีสานที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่ ปลาร้าบ้อง อุดมด้วยพืชสมุนไพร เช่น ข่า ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด มะขามเปียก หรืออย่างแกงอ่อม ที่เน้นการใช้ผัก หลายชนิดตามฤดูกาลเป็นหลัก รสชาติของแกงอ่อมจึงออกรสหวาน ของผักต่างๆ รสเผ็ดของพริก กลิ่นหอมของเครื่องเทศและผักชีลาว<br />หรืออย่างต้มแซบ ที่มีน้ำแกงอันอุดมด้วยรสชาติและกลิ่นหอมของ ของเครื่องเทศและผักสมุนไพรเช่นกัน<br /></strong></span></span><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ff0000;">คนอีสานจะรับประทานข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก และโดยทั่วไป จะนึ่งข้าวเหนียวด้วยหวด หวด คือภาชนะที่เป็นรูปกรวย ทำด้วยไม้ไผ่ ซึ่งจะต้องใช้คู่กับหม้อทรงกระบอก</span><br /></strong></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong><span style="color:#009900;">เครื่องปรุงรสในอาหารอีสาน</span></strong></span><br /></p><p><span style="color:#000099;"></span><span style="color:#000099;"><strong><span style="font-family:arial;font-size:130%;">ปลาร้า<br /></span></strong><br /></span><br /></p><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQ4PuywrTpTo8wpfDPwADSCar7-24M-pHhJofW8FDWelBlOWavS3d6uAmlkhJUeskgzlf8FOXdU8wvKqaRKMGeWCsj2mJQrdjY5FNnfnFwTpiBody1PPuQ1htbANJUo-dLYc8Xn7p7zL1Q/s1600-h/plara.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 317px; DISPLAY: block; HEIGHT: 177px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424703367729479410" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiQ4PuywrTpTo8wpfDPwADSCar7-24M-pHhJofW8FDWelBlOWavS3d6uAmlkhJUeskgzlf8FOXdU8wvKqaRKMGeWCsj2mJQrdjY5FNnfnFwTpiBody1PPuQ1htbANJUo-dLYc8Xn7p7zL1Q/s320/plara.jpg" /></a><br /><br /><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#009900;">คนอีสานจะทำปลาร้ารับประทานในบ้าน ไม่นิยมซื้อ เมื่อสมาชิกในบ้านออกหาปลา จับกบ ซึ่งอาจจะได้ปลามาก เหลือรับประทานก็จะทำปลาร้า ปลาตากแห้ง เป็นการถนอมอาหารไว้รับประทานในมื้ออื่น ๆ ปลาร้าเป็นเครื่องปรุงรส ในอาหารอีสานเกือบทุกชนิด ใช้ใส่ผสมได้ทั้งแกง หมก อ่อม น้ำพริกต่าง ๆ แต่ไม่นิยมใส่ในอาหารประเภทผัด<br /><br />ข้าวเบือ<br />คือการนำข้าวเหนียวมาแช่น้ำไว้สักพักใหญ่ ให้เมล็ดข้าวเหนียวอ่อนนุ่ม สงให้สะเด็ดน้ำ แล้วนำมาโขลกให้ ละเอียด ใช้ในอาหารหลายอย่าง เช่น หมกหน่อไม้ แกงย่านาง แกงอ่อม ข้าวเบือจะช่วยให้อาหารหนืดเหนียวน่ารับประทาน</span><br /></strong></span><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#cc0000;"><strong>ข้าวคั่ว<br /></strong></span><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyaWZ4aqAaqEL0CDVVVfgW2n-YyTssQTviAkm4w1k0fN504AeF08M2j6zFAv1ax08iwfcwR8Q7cyu069jYd6nXt0RxAcGwRqiYbvLUPf383dM5LChYt6B7PKr1orTEER7gNSYsSn8_G0z_/s1600-h/ricy.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 291px; DISPLAY: block; HEIGHT: 200px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424705157011592130" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiyaWZ4aqAaqEL0CDVVVfgW2n-YyTssQTviAkm4w1k0fN504AeF08M2j6zFAv1ax08iwfcwR8Q7cyu069jYd6nXt0RxAcGwRqiYbvLUPf383dM5LChYt6B7PKr1orTEER7gNSYsSn8_G0z_/s320/ricy.jpg" /></a><br /><span style="font-family:arial;color:#ffcc33;"><strong><span style="color:#ff6600;">คือการนำข้าวเหนียวข้าวสาร และควรเป็นข้าวสารใหม่ คั่วในกระทะ ใช้ไฟอ่อน คั่วให้ทั่ว พลิกไปมาจนข้าวเหนียว มีสีเหลืองอ่อน และมีกลิ่นหอม ตักขึ้น พักไว้ให้เย็น จึงนำมาโขลกให้ละเอียด ใช้กับอาหารหลายอย่าง เช่น ลาบ น้ำตก ข้าวคั่วช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอม ชวนรับประทาน และทำให้น้ำในอาหารข้นขึ้น ข้าวคั่วไม่นิยมทำเก็บไว้นาน ๆ เพราะนอก จากจะไม่มีกลิ่นหอมแล้ว ยังอาจทำให้รสชาติของอาหารนั้นด้อยลงไปอีก</span><br /></strong></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#000099;"><strong>พริกป่น </strong></span></p><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOrniI9DEvROeh5TnZBSYAyzzJMdhG0CccDpQiSUX22TOzOf_e23Y48Yfm9VmO3cu-eZAQSImwyLyUWNFv4W1JC4DylCRSODa4EmqlzHAcBy0eADIa6zTfw7sygalqnhgPT4GxDjT_zIIh/s1600-h/spicy.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; DISPLAY: block; HEIGHT: 165px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424705727955729970" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjOrniI9DEvROeh5TnZBSYAyzzJMdhG0CccDpQiSUX22TOzOf_e23Y48Yfm9VmO3cu-eZAQSImwyLyUWNFv4W1JC4DylCRSODa4EmqlzHAcBy0eADIa6zTfw7sygalqnhgPT4GxDjT_zIIh/s320/spicy.jpg" /></a><br /><span style="color:#ff0000;"></span><strong><span style="font-family:arial;color:#ff0000;">คือการนำพริกขี้หนูหรือพริกทางภาคอีสาน ซึ่งจะมีรสเผ็ดมาก ตากแห้ง แล้วคั่วในกระทะโดยใช้ไฟอ่อนให้หอมฉุน ตักขึ้นพักไว้ให้เย็น แล้วโขลกให้ละเอียด พริกป่นเป็นเครื่องปรุงรสอีกชนิดหนึ่งที่ใช้กันมาก เพราะคนอีสานรับประทานรส เผ็ดจัด เค็มจัด พริกป่นใช้กับอาหารทุกชนิด<br /><br /></span></strong><br /><span style="color:#009900;"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><br /><br /><br />ผักติ้วหรือผักแต้ว<br /></strong></span><br /></span><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBJ03bGyuz24hl-yAQrQnBxfY34cKs6SECWf4ic8R-ebSesHPDtlbx_ae-FWAbM8M_uYf14wYYELJpwcWNNGIuTHTdfcw5N7KdwqBNF-oi7snQYSHkY0uClu0p-Matdojf7otd2HVz8ReK/s1600-h/tew.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 250px; FLOAT: left; HEIGHT: 188px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424705965718606114" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiBJ03bGyuz24hl-yAQrQnBxfY34cKs6SECWf4ic8R-ebSesHPDtlbx_ae-FWAbM8M_uYf14wYYELJpwcWNNGIuTHTdfcw5N7KdwqBNF-oi7snQYSHkY0uClu0p-Matdojf7otd2HVz8ReK/s320/tew.jpg" /></a><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#cc0000;"><strong>จะมีรสเปรี้ยว รับประทานกับลาบ จิ้มน้ำพริก รับประทานกับอาหารที่มีรสเผ็ด<br /></strong></span></p><p></p><p></p><p><br /></p><p></p><p></p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong><p><br /><br /><br /><br /></p><p></p><p>ยอดจิก<br /><br /></strong></span></p><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJfCQrU3UJvlUb6j2g83p_TsYNBW3bRlhEzIJ6bR_Tucunzwo5GVqC-3YS9jVtFSmBFmB8-Hm9M0HMzThN_BYLa0QTAeWTO5CnabK6fERV2gPHk1YDiGr3d-7qmdWcxe8VpeBHaMourhe3/s1600-h/yodjig.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 235px; FLOAT: left; HEIGHT: 155px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424706347672273906" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJfCQrU3UJvlUb6j2g83p_TsYNBW3bRlhEzIJ6bR_Tucunzwo5GVqC-3YS9jVtFSmBFmB8-Hm9M0HMzThN_BYLa0QTAeWTO5CnabK6fERV2gPHk1YDiGr3d-7qmdWcxe8VpeBHaMourhe3/s320/yodjig.jpg" /></a><br /><br /><p><span style="font-family:arial;color:#009900;"><strong>คล้ายใบหูกวาง รับประทานกับลาบ<br /></p></strong></span><p></p><p></p><p></p><p><br /></p><p></p><p></p><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#009900;"><strong><p><br /><br /><br /><br /></p><p></p><p>ผักแว่น<br /></strong></span></p><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSICyl5fy2drTIp1H7I9WuTb0YTyyH-U05u6nARu05ShgG1KNr-Ll2sIZnQoO9rEeTEHtI74rHq4ENoj5ps72GwFOErijfNC6VCYFwo_RGbRop_gcsQ755rljPLxSrQa-HWyIf4LnH8dBQ/s1600-h/pukwan.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 237px; FLOAT: left; HEIGHT: 165px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424706918038006114" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSICyl5fy2drTIp1H7I9WuTb0YTyyH-U05u6nARu05ShgG1KNr-Ll2sIZnQoO9rEeTEHtI74rHq4ENoj5ps72GwFOErijfNC6VCYFwo_RGbRop_gcsQ755rljPLxSrQa-HWyIf4LnH8dBQ/s320/pukwan.jpg" /></a><br /><br /><p><span style="font-size:130%;color:#009900;"><strong><span style="font-family:arial;">ขึ้นอยู่ในน้ำ รับประทานกับลาบ ก้อย น้ำพริก<br /></span></strong></span></p><span style="font-size:130%;color:#009900;"></span><br /><p><span style="font-size:130%;color:#009900;"></span> </p><p><span style="font-size:130%;color:#009900;"></span> </p><p><span style="font-size:130%;color:#009900;"> </p><p><br /></p></span><p></p><p></p><p></p><p></p><p></p><p></p><p><br /><span style="font-family:arial;color:#cc0000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;color:#cc0000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;color:#cc0000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;color:#cc0000;"><strong><br /><br /><br />ผักแขยง</strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTDKSEkP71A7KBNpzR4ynVeH_5-6kX8-T5Gp2tlx5luUkyOamCB9a00wyFjsvVaj5FBcFzUvaO2FkF05EK3QHib9BVHIwPaXK2oCGy740Jm9eMfix1o7mxU1edb-al8I6til9B9BuS_51A/s1600-h/pukkayang.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 115px; FLOAT: left; HEIGHT: 150px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424707221407562354" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTDKSEkP71A7KBNpzR4ynVeH_5-6kX8-T5Gp2tlx5luUkyOamCB9a00wyFjsvVaj5FBcFzUvaO2FkF05EK3QHib9BVHIwPaXK2oCGy740Jm9eMfix1o7mxU1edb-al8I6til9B9BuS_51A/s320/pukkayang.jpg" /></a><br /><strong><span style="font-family:arial;color:#ff0000;">ใช้ใส่แกง ดับกลิ่นคาว แกงปลา กินกับส้มตำ</span></strong><br /></p><p></p><p></p><p></p><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:130%;color:#000099;"><br /><br /><br />ผักเม็ก<br /></span></strong></span><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMSyzxJaa3iTdOSWKpy0MI8N1Qz1ysif6ZguJGYwDVfinduJM8FeVvFF167cAdTAH4mN1f0zHFKrmTXMzTJc4Tdox5uvC-zsP7LMSNg8omWV_gPgOFNMcfm9ZcfjUs22vxWyW7E5WatNNg/s1600-h/pukmeg.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 126px; FLOAT: left; HEIGHT: 130px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424707500114467330" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMSyzxJaa3iTdOSWKpy0MI8N1Qz1ysif6ZguJGYwDVfinduJM8FeVvFF167cAdTAH4mN1f0zHFKrmTXMzTJc4Tdox5uvC-zsP7LMSNg8omWV_gPgOFNMcfm9ZcfjUs22vxWyW7E5WatNNg/s320/pukmeg.jpg" /></a><br /><span style="color:#00cccc;"><span style="font-family:arial;"><strong>มีรสเปรี้ยว รับประทานกับลาบ ก้อย</strong></span><br /></span></p><p></p><p> </p><p> </p><p><br /> </p><p></p><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ffcc00;"><span style="color:#ff6666;"><span style="font-size:130%;"></span></span></span></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ffcc00;"><span style="color:#ff6666;"><span style="font-size:130%;"></span></span></span></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ffcc00;"><span style="color:#ff6666;"><span style="font-size:130%;"><br /><br />สายบัวเล็ก<br /></span>มีสีม่วง เส้นเล็ก ใช้จิ้มน้ำพริก</span> </span></strong></span></p><p><strong><span style="font-family:Arial;color:#ffcc00;"></span></strong></p><p><strong><span style="font-family:Arial;color:#ffcc00;"></span></strong></p><p><span style="font-family:arial;color:#ff6666;"><strong><br /><br />ผักชีน้ำ<br />คล้ายใบขึ้นฉ่าย แต่ใบจะเล็กกว่า<br /></strong></span></p><p><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#ff9966;"><br /><br />ผักแพว<br /></span></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjib6y6PNnP4luErU7H45VzTb1NR5Rz10pdJ-WNMEZmg0JKLZgo1rPtSfzl7qFspBTO922rRfrOjLIonBvJ-7QFT9WuomGrgmTGhn7uO6k5VoFl0ELg2zD0ONjGiVjbqGNG32E1MXWiemjM/s1600-h/pukpaw.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 179px; FLOAT: left; HEIGHT: 103px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424708004554151634" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjib6y6PNnP4luErU7H45VzTb1NR5Rz10pdJ-WNMEZmg0JKLZgo1rPtSfzl7qFspBTO922rRfrOjLIonBvJ-7QFT9WuomGrgmTGhn7uO6k5VoFl0ELg2zD0ONjGiVjbqGNG32E1MXWiemjM/s320/pukpaw.jpg" /></a><br /><br /><span style="color:#ff6666;">ต้นและใบมีกลิ่นหอม ใบอ่อนและกิ่งรับประทานกับลาบ ก้อย</span><br /></p><p></p><p><br /></p><p></p><p><span style="font-family:arial;color:#009900;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;color:#009900;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;color:#009900;"><strong></strong></span> </p><p><span style="font-family:arial;color:#009900;"><strong></strong></span> </p><p><span style="font-family:arial;color:#009900;"><strong><br /><br /><br />หน่อไม้รวก<br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdWl4LU40p0Xh2ECmDMbysz8HK7Jm1x3xjXZtnkrMV846e36TUiZsxZ63avrC7dlxKUSX_QkLpHZdTJZCVmVbTHdt6pRYcNxSHN4pP4DL937jT8yXzxoFMgfZEngVpg2sF45UeBmBqk5yc/s1600-h/normai.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 130px; FLOAT: left; HEIGHT: 183px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424708381190400306" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdWl4LU40p0Xh2ECmDMbysz8HK7Jm1x3xjXZtnkrMV846e36TUiZsxZ63avrC7dlxKUSX_QkLpHZdTJZCVmVbTHdt6pRYcNxSHN4pP4DL937jT8yXzxoFMgfZEngVpg2sF45UeBmBqk5yc/s320/normai.jpg" /></a><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#33cc00;"><strong>คือ หน่อไม้ที่ขึ้นตามป่าเขา นำมาเผา แล้วจึงนำไปประกอบอาหาร</strong></span><br /><br /></p><p></p><p></p><p> </p><p> </p><p><br /> </p><p></p><p></p><p><span style="font-family:arial;color:#006600;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;color:#006600;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;color:#006600;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;color:#006600;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;color:#006600;"><strong><br /><br /><br />เห็ดป่าต่าง ๆ<br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjR6c6FawD4LRjGR8tjbZhrL8YCmdI32gh5iwRqwmSCDQkD_FNBQHoi62MVZCRXXyi_y0NZ6vwROO2HkjnkO2srh2_yE_EO8K-1O0zrYz78EbkZwse78qrNrJZkf-SZcnLjRHzSgniTz2fw/s1600-h/hedpha.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 149px; FLOAT: left; HEIGHT: 138px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424708583407337346" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjR6c6FawD4LRjGR8tjbZhrL8YCmdI32gh5iwRqwmSCDQkD_FNBQHoi62MVZCRXXyi_y0NZ6vwROO2HkjnkO2srh2_yE_EO8K-1O0zrYz78EbkZwse78qrNrJZkf-SZcnLjRHzSgniTz2fw/s320/hedpha.jpg" /></a><br /><br /><span style="color:#33cc00;">นิยมนำมาแกง หมก<br /></p></span><p></p><p></p><p><br /><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#330099;"><span style="font-size:180%;"></span></span></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#330099;"><span style="font-size:180%;"></span></span></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#330099;"><span style="font-size:180%;"></span></span></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#330099;"><span style="font-size:180%;"></span></span></strong></span> </p><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#330099;"><span style="font-size:180%;"></span></span></strong></span> </p><p><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#330099;"><span style="font-size:180%;"><br /><br />ตัวอย่างอาหารภาคอีสาน</span> </span></strong></span></p><p><span style="color:#6600cc;"><strong><span style="font-family:arial;font-size:180%;"><br /><br />อ่อมปลาดุก</span></strong> </span></p><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqO2-EQ7AgtkR1m7YpuAgpqQ-g7wVLkS4SqfKQIluRRqFFPfUNb7568JWwIJL3bY0JVHqqI2lqZl2kk-CtxO82fAggO0oUOvPRKKM7GL0qJIJgFSC52XduhkULz6xPDe2y0yxFz04ewzP-/s1600-h/oompladuk.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 291px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424709916098202450" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqO2-EQ7AgtkR1m7YpuAgpqQ-g7wVLkS4SqfKQIluRRqFFPfUNb7568JWwIJL3bY0JVHqqI2lqZl2kk-CtxO82fAggO0oUOvPRKKM7GL0qJIJgFSC52XduhkULz6xPDe2y0yxFz04ewzP-/s320/oompladuk.jpg" /></a><br /><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#6600cc;"><span style="font-size:130%;">เครื่องปรุง</span><br /></span><br />ปลาดุกอุยหนักประมาณ 300 กรัม 1 ตัว<br />น้ำปลาร้า ½ ถ้วย<br />ผักชีลาว 3 ต้น<br />ต้นหอม 2 ต้น<br />มะเขือพวง ½ ถ้วย<br />มะเขือเปราะ 5 ลูก<br />ใบแมงลัก ½ ถ้วย<br />ใบชะพลู 10 ใบ<br />ข้าวเหนียวดิบแช่ให้นิ่ม 2 ช้อนโต๊ะ<br />พริกขี้หนูสด 15 เม็ด<br />ตะไคร้ 1 ต้น<br />หอมแดง 4 หัว<br />น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ<br /><br /><span style="color:#6600cc;">วิธีทำ<br /></span>1. ล้างปลาดุกให้สะอาดหั่นเป็นชิ้น<br />2. เอาน้ำ 2 ถ้วย ตั้งไฟจนเดือด ใส่ปลาลงต้ม เติมน้ำปลาร้า<br />3. โขลกหอมแดง พริกสด และข้าวเหนียวที่แช่น้ำให้ละเอียด ตักใส่หม้อต้มปลา ปรุงรสด้วยน้ำปลา 4. เมื่อปลาสุก ใส่มะเขือเปราะผ่าซีก ตะไคร้หั่นท่อนสั้น มะเขือพวง ใบชะพลู ใบแมงลัก ต้นหอมหั่น ปิดไฟ ยกลง รับประทานกับผักชีลาว<br /><br /><br /></span><span style="font-size:130%;color:#cc33cc;">เนื้อทุบ</span> </strong></span></p><p><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; FLOAT: left; HEIGHT: 265px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424710667562605618" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjmk7KSDQj8F7BLq4Ik_sGWp7vwo2IUOgr4hvAD3LzI7rDYk7d5MtFq52Jo-ko_lneJ38-rWSJaRgL7zf5kizsxzzx0I7IIraSM7sxXQOPMKR8C9IYeJ9mxJLQxcQXY0f43af9OKxEwFO9G/s320/naertoop.jpg" /><br /><strong><span style="font-size:130%;"><span style="color:#3333ff;"><span style="font-family:arial;"><span style="color:#ff0000;">เครื่องปรุง</span><br />เนื้อลูกฟัก 1 กิโลกรัม<br />เกลือ 1 ช้อนโต๊ะ<br />พริกไทยป่น 1 ช้อนชา<br />น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา<br />น้ำปลา 1 ช้อนชา<br /><span style="color:#ff0000;">วิธีทำ</span><br />1. แล่เนื้อออกตามยาว หมักกับเกลือ น้ำปลา พริกไทยป่น น้ำตาลปี๊บ หมักทิ้งไว้ประมาณครึ่งวัน ตากแดด 1 วัน<br />2. นำเนื้อไปย่างจนสุก แล้วทุบเนื้อให้แตกยุ่ยจากกัน</span><br /></span></span></strong></p><p><strong><span style="font-size:130%;"><br /></span><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff0000;">เนื้อน้ำตก<br /></span></strong><br /><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; FLOAT: left; HEIGHT: 264px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424711256282560050" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgz1iEzFnc5akuD4RIHWZaCNaYhV8odVTu5-2ClFJXt7ZebX80qxiyWDpIMBZ5MJ6KcR7DXMf9xD83PphYmue1YHB01stk6E24RzXe8xFxjkx0x7xdISEzOWSZstR76gG3TQgVJvUOGefR1/s320/Naernamtok.jpg" /><br /><span style="font-family:arial;color:#ff6600;"><strong><span style="color:#009900;">เครื่องปรุง</span><br /><br />เนื้อติดมัน 200 กรัม<br />ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ<br />พริกป่น ½ช้อนชา<br />หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ<br />ใบสะระแหน่ ½ ถ้วย<br />น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ<br />น้ำปลา 2 ช้อนชา<br />ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ<br />ผักสด ผักบุ้ง ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี<br /><br /></p></strong></span><p><span style="font-family:arial;color:#ff6600;"><strong><span style="color:#009900;">วิธีทำ</span><br />1. ล้างเนื้อ แล่หนาประมาณ 1 เซนติเมตร เคล้ากับซีอิ้วขาว หมักไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง<br />2. ย่างเนื้อบนเตาถ่านใช้ไฟแรง เนื้อจะสุกด้านนอก พลิกไปมาทั้ง 2 ข้าง พอน้ำตกส่งกลิ่นหอม ยกลง<br />3. หั่นเนื้อแฉลบ เป็นชิ้นพอคำ เคล้ากับน้ำปลา น้ำมะนาว ใส่พริกป่น ข้าวคั่ว หอมแดง โรยใบสะระแหน่ รับประทานกับผักบุ้ง ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี<br /><br /></strong></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#6600cc;"><strong>เนื้อแดดเดียว</strong></span><br /><br /><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; FLOAT: left; HEIGHT: 280px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424712118626136258" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiTx29jxOXShHtvwiezLBJgCP47sJmfmfCyAW0XU7shCgJsdp8BPnYmuz2uBjpWtsdyVVbuH3fLSRmrufrEHch8JE2VNE_UYpaVfvq_rTSRvHGJG3u560zMIvysZnn0bntSC7Oit3KIm2uE/s320/Naerdaddeaw.jpg" /><br /><span style="font-size:130%;color:#ff0000;"><span style="color:#ff9900;">เครื่องปรุง</span><br /><br />เนื้อวัว 500 กรัม<br />กระเทียม 1 หัว<br />ผงกะหรี่ 1 ช้อนชา<br />พริกไทยป่น ½ ช้อนชา<br />น้ำมันหอย 1 ช้อนโต๊ะ<br />น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ<br />รากผักชี 3 ราก<br />น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ<br />เหล้าขาว 2 ช้อนโต๊ะ<br />ซอสพริก 3 ช้อนโต๊ะ<br /></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;"><span style="color:#ff6600;">วิธีทำ</span><br />1. ล้างเนื้อให้สะอาด แล่ออกเป็นแผ่นหนา ประมาณ 1 ซ.ม.<br />2. โขลกกระเทียม รากผักชี พริกไทยให้ละเอียด เคล้ากับเนื้อให้เข้ากัน เติมน้ำปลา เหล้าขาว น้ำมันหอย น้ำตาลทราย ผงกะหรี่ หมักประมาณ1 ช.ม. แล้วตากแดด 1 วัน<br />3. ทอดเนื้อ ในน้ำมันร้อน พอสุกตักให้สะเด็ดน้ำมัน รับประทานกับซอสพริก<br /></span><br /></span><br /><span style="font-family:arial;color:#000099;"><strong>ข้าวเหนียว+ส้มตำ+ไก่ย่าง</strong></span> </p><p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEid_LVUL3bP7RtKHOYFpPBckLIoYw4gTNVY1qGJeSp1WuLqoxgu3qUj0c9R1bLxdZJj1f0ioFtXh2yU6PRS2qnO6kaPvJ4EXIYq7Nu65beHqWvAkILyTQG-GZN_AOWiLLQu1Ad_tMmQhVW6/s1600-h/oi.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424714315588589122" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEid_LVUL3bP7RtKHOYFpPBckLIoYw4gTNVY1qGJeSp1WuLqoxgu3qUj0c9R1bLxdZJj1f0ioFtXh2yU6PRS2qnO6kaPvJ4EXIYq7Nu65beHqWvAkILyTQG-GZN_AOWiLLQu1Ad_tMmQhVW6/s320/oi.jpg" /></a> </p><p><br /><span style="font-size:130%;color:#ff0000;">ปลาซิวหมกหม้อ</span><br /><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLbGbfSeGxd862-v4tBR6fwdVSZaCP9KP4q8JB7v1wcRSVd41_fKZvEOsoXantKEPDM_jEXvh1m2tjygKoOLHwyWPBsLsu4RTCauOB9pfTZ9brPZHjjgi66tCmMxbYhAvGorOSmSK6shG5/s1600-h/page.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424717803125060482" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjLbGbfSeGxd862-v4tBR6fwdVSZaCP9KP4q8JB7v1wcRSVd41_fKZvEOsoXantKEPDM_jEXvh1m2tjygKoOLHwyWPBsLsu4RTCauOB9pfTZ9brPZHjjgi66tCmMxbYhAvGorOSmSK6shG5/s320/page.jpg" /></a><br /><span style="color:#ff0000;">รัปประทานพร้อมกับข้าวเหนียวร้อนๆและถ้าจะให้อร่อยเพิ่มมากขึ้นต้องกินคุ๋กับแจ่วบอง อร่อยอย่าบอกใครเลยค่ะ<br /></span></p><p><br /><span style="font-size:130%;color:#000099;"><span style="font-family:arial;">แกงหน่อไม้ส้ม</span><br /></span><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2OQHsDankoDucNL8QGjkbyy_L1rqjUXnnfOOwyWM6h9vCTH9IF5Ic23W6vHZMKfTxhSiDOVOD9te-Prd47IEm9SbuQhuAF5ZDaZHRc2-mIwu7eC3qpMNUq7Ig2sRtrdGMFa9Tn4t37otu/s1600-h/dsc04605z.jpg"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; FLOAT: left; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424715657095712562" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2OQHsDankoDucNL8QGjkbyy_L1rqjUXnnfOOwyWM6h9vCTH9IF5Ic23W6vHZMKfTxhSiDOVOD9te-Prd47IEm9SbuQhuAF5ZDaZHRc2-mIwu7eC3qpMNUq7Ig2sRtrdGMFa9Tn4t37otu/s320/dsc04605z.jpg" /></a><br /><span style="color:#3333ff;">เสิร์ฟพร้อมกับข้าวเหนียวร้อนๆเข้ากันได้ดีมาก และอร่อยที่สุดเลยค่ะ<br /><br /></span><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /></p><p></p><p></p><p><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff0000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff0000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff0000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff0000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff0000;"><strong></strong></span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#ff0000;"><strong>แหล่งที่มาของข้อมูล</strong></span><br /><br /><span style="color:#000099;">http://student.swu.ac.th/sc481010115/ingredient%20of%20northeast.htm<br />http://student.swu.ac.th/sc481010115/oompladuk.htm<br />http://student.swu.ac.th/sc481010115/northeast.htm<br />http://student.swu.ac.th/sc481010115/oompladuk.htm<br />http://student.swu.ac.th/sc481010115/naerdaddeaw.htm<br />http://student.swu.ac.th/sc481010115/naernamtok.htm<br />http://student.swu.ac.th/sc481010115/naertoop.htm<br />http://www.fortuner-club.com/webboard/questions.asp?QID=48839<br />http://www.baanmaha.com/community/แกงหน่อไม้ส้ม-24423/ </span></p>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-50796897234220155832010-01-09T02:57:00.000-08:002010-01-09T03:22:19.422-08:00คลิปวีดีโอการแสดงของภาคอีสาน<strong><span style="color:#ff0000;"> </span></strong><span style="font-family:arial;"><strong><span style="color:#ff0000;">วัฒนธรรมด้านการแสดงประจำภาคอีสาน</span></strong><br /><br /><br /><strong><span style="color:#000099;">การแสดงเซิ้งโปงลาง</span></strong><br /></span><br /><object width="400" height="340"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/7QIQ58aHhcQ&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/7QIQ58aHhcQ&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="400" height="340"></embed></object><br /><br /><br /><strong><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;">การแสดง เซิ้งลำเพลิน</span><br /></strong><br /><object width="400" height="340"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/DVo0kxLSBxY&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/DVo0kxLSBxY&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="400" height="340"></embed></object><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#009900;">ฟ้อนหมากกั๊บแก้บ-ลำเพลิน</span><br /><br /><object width="400" height="350"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/eaj4p5n5GEI&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/eaj4p5n5GEI&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="400" height="350"></embed></object><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#ff0000;"><strong>ฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์</strong></span><br /><br /><object width="400" height="350"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/3qjHFG2d1oM&hl=en_US&fs=1&color1=0x006699&color2=0x54abd6&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/3qjHFG2d1oM&hl=en_US&fs=1&color1=0x006699&color2=0x54abd6&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="400" height="350"></embed></object><br /><br /><br /><br /><strong><span style="color:#ff6600;"><span style="font-family:arial;font-size:130%;">เซิ้งภูไท 3 เผ่า</span><br /></span></strong><br /><object width="400" height="350"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/e0qQB0XMcYM&hl=en_US&fs=1&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/e0qQB0XMcYM&hl=en_US&fs=1&color1=0x5d1719&color2=0xcd311b&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="445" height="364"></embed></object><br /><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#3333ff;"><strong>ฟ้อนสาวไหม</strong></span><br /><br /><object width="400" height="350"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/OvYAYmlQXSc&hl=en_US&fs=1&color1=0x234900&color2=0x4e9e00&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/OvYAYmlQXSc&hl=en_US&fs=1&color1=0x234900&color2=0x4e9e00&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="400" height="350"></embed></object><br /><br /><br /><br /><br /><span style="color:#ff6600;"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong>ฟ้อนเต้ยเกี้ยว</strong></span><br /></span><br /><object width="400" height="350"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/1XvIxGIZlhs&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/1XvIxGIZlhs&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="400" height="350"></embed></object><br /><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;color:#009900;"><strong>ดังนั้นแล้ว การแสดงประจำภาคอีสานมีอีกมากมายหลายแบบอย่างที่เกี่ยวกับการฟ้อน การเซิ้ง ลำเพลิน กลอนกลอน เป็นต้น จากที่เอามาให้เป็นข้อมูลนั้น คือการเซิ้ง และฟ้อน ตามประเพณีด้านต่างๆ<br /><br /></strong></span><span style="color:#000099;"><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong>แหล่งที่มาของข้อมูล</strong></span><br /><br />http://www.youtube.com/watch?v=3qjHFG2d1oM<br />http://www.youtube.com/watch?v=1XvIxGIZlhs<br />http://www.youtube.com/watch?v=7QIQ58aHhcQ<br />http://www.youtube.com/watch?v=OvYAYmlQXSc<br />http://www.youtube.com/watch?v=DVo0kxLSBxY</span>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-84433735654852655572010-01-07T01:18:00.000-08:002010-01-09T20:24:39.675-08:00วิถีการดำเนินชีวิตของคนอีสาน<span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="font-size:180%;"></span><span style="color:#ff0000;"><span style="font-size:180%;">วิถีชีวิตชาวอีสาน</span><br /></span><br /><br /></strong></span><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><p></strong></span></p><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUxMr8Ok6O5ay_2Kwo9SpI4KIGNsBnwovkzTHQr1hldel_-1aD6c-6L4XugFAWvH08147ZZE8yBfXC0CTbkKdJVGZEYI2i4B7Q0y__y-i7g4ATDhRnoB7mC1ZfHMox3lPyQUEHbTPcSana/s1600-h/dumna.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 350px; DISPLAY: block; HEIGHT: 252px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424939905954370530" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhUxMr8Ok6O5ay_2Kwo9SpI4KIGNsBnwovkzTHQr1hldel_-1aD6c-6L4XugFAWvH08147ZZE8yBfXC0CTbkKdJVGZEYI2i4B7Q0y__y-i7g4ATDhRnoB7mC1ZfHMox3lPyQUEHbTPcSana/s320/dumna.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><br /><br /><span style="color:#009900;">ดินแดนอีสาน มีวัฒนธรรม ประเพณี เฉพาะตน มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ที่เรียบง่าย ท่ามกลางความแร้นแค้น ชาวอีสาน มีความเป็นอยู่เช่นไร ใช้ชีวิตอยู่เช่นไร สร้างศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีเช่นไรขึ้นมา แต่ละจังหวัด แต่ละสถานที่ อาจมีวิถีชิวิต ความเป็นอยู่ ที่แตกต่าง ตามลักษณะพื้นที่ หรือธรรมชาิติที่มีอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมด ล้วนคือวิถีชิวิตแห่งชาวอีสาน<br /></span><br /><span style="color:#cc0000;">ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ</span><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFU2wmu5veNIxoVe55x4ipfb07cl-V3OOAAjkvCMk8Wa7DDEXr1hGabALRgQuAaamatM418phQQjUpSkFJ6aw9DN8G7ps5f7E-i5MVaNPgDlrdmX96Lk3crkcClHzB5Z0FqcAxiR9H_Khd/s1600-h/isan.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424940151246789330" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhFU2wmu5veNIxoVe55x4ipfb07cl-V3OOAAjkvCMk8Wa7DDEXr1hGabALRgQuAaamatM418phQQjUpSkFJ6aw9DN8G7ps5f7E-i5MVaNPgDlrdmX96Lk3crkcClHzB5Z0FqcAxiR9H_Khd/s320/isan.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><br /><br /><span style="color:#33cc00;">การสร้างบ้านของชุมชนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ตั้งแต่สมัยโบราณมักเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ตามที่ราบลุ่มที่มีแม่สำคัญ ๆ ไหลผ่าน เช่น แม่น้ำโขง แม่น้ำมูล แม่น้ำชี แม่น้ำสงคราม ฯลฯ รวมทั้งอาศัยอยู่ตามริมหนองบึง ถ้าตอนใดน้ำท่วมถึงก็จะขยับไปตั้งอยู่บนโคกหรือเนินสูง ดังนั้นชื่อหมู่บ้านในภาคอีสานจึงมักข้นต้นด้วยคำว่า "โคก โนน หนอง" เป็นส่วนใหญ่<br />ลักษณะหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานนั้นมักจะอยู่รวมกันเป็นกระจุก ส่วนที่ตั้งบ้านเรือนตามทางยาวของลำน้ำนั้นมีน้อย ผิดกับทางภาคกลางที่มักตั้งบ้านเรือนตามทางยาว ทั้งนี้เพราะมีแม่น้ำลำคลองมากกว่า<br />หนุ่มสาวชาวอีสานเมื่อแต่งงานกันแล้ว ตามปกติฝ่ายชายจะต้องไปอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย ต่อเมื่อมีลูกจึงขยับขยายไปอยู่ที่ใหม่เรียกว่า "ออกเฮือน" แล้วหักล้างถางพงหาที่ทำนา ดังนั้น ที่นาของคนชั้นลูกชั้นหลานจึงมักไกลออกจากหมู่บ้านไปทุกที และเมื่อบริเวณเหมาะสมจะทำนาหมดไป เพราะพื้นที่ราบที่มีแหล่งน้ำจำกัด คนอีสานชั้นลูกหลานก็มักชวนกันไปตั้งบ้านใหม่อีก หรือถ้าที่ราบในการทำนาบริเวณใดกว้างไกลไปมาลำบาก ก็จะชักชวนกันไปตั้งบ้านใหม่ใกล้เคียงกับนาของตน ทำให้เกิดการขยายตัวกลายเป็นหมู่บ้านขึ้น<br /></span><br /><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0y3EyZBjDCd3dK-u_P4pw6f8i69e6QuH18uV5Nds83SqSYgYn-p4Vj-gih2cGFk2qYuCEoSAip4SBf34Yzq15nK8S4HbKCRgFk6Dhr00i31zXunXPxSosWER672bgL3_QmAkD3wxOzNow/s1600-h/01mar071010030318186783120070301221718.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 233px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424739245241792162" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0y3EyZBjDCd3dK-u_P4pw6f8i69e6QuH18uV5Nds83SqSYgYn-p4Vj-gih2cGFk2qYuCEoSAip4SBf34Yzq15nK8S4HbKCRgFk6Dhr00i31zXunXPxSosWER672bgL3_QmAkD3wxOzNow/s320/01mar071010030318186783120070301221718.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><br /><span style="color:#ff0000;">ลักษณะการตั้งถิ่นฐาน<br /><br /></span><span style="color:#33cc00;">ในการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนของคนอีสานมักเลือกทำเลที่เอื้อต่อการยังชีพ ซึ่งมีองค์ประกอบทั่วไปดังนี้<br /><br /><br /><span style="color:#009900;">1. แหล่งน้ำ นับเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก อาจเป็นหนองน้ำใหญ่หรือห้วย หรือ ลำน้ำที่แยกสาขามาจากแม่น้ำใหญ่ ที่มีน้ำเฉพาะฤดูฝนส่วนมากเป็นที่ราบลุ่มสามารถทำนาเลี้ยงสัตว์ ได้ในบางฤดูเท่านั้น<br />ชื่อหมู่บ้านมักขึ้นต้นด้วยคำว่า "เลิง วัง ห้วย กุด หนอง และท่า" เช่น เลิงนกทา วังสามหม้อ ห้วยยาง กุดนาคำ หนองบัวแดง ฯลฯ<br /><br />2. บริเวณที่ดอนเป็นโคกหรือที่สูงน้ำท่วมไม่ถึง สามารถทำไร่และมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ มีทั้งที่ดอนริมแม่น้ำและที่ดอนตามป่าริมเขา แต่มีน้ำซับไหลมาบรรจบเป็นหนองน้ำ<br />ชื่อหมู่บ้านมักขึ้นต้นด้วนคำว่า "โคก ดอน โพน และโนน" เช่น โคกสมบูรณ์ ดอนสวรรค์ โพนยางคำ ฯลฯ<br /><br />3. บริเวณป่าดง เป็นทำเลที่ใช้ปลูกพืชไร่และสามารถหาของป่าได้สะดวก มีลำธารไหลผ่าน เมื่ออพยพมาอยู่กันมากเข้าก็กลายเป็นหมู่บ้านและมักเรียกชื่อหมู่บ้านขึ้นต้นด้วยคำว่า "ดง ป่า และเหล่า" เช่น โคกศาลา ป่าต้นเปือย เหล่าอุดม ฯลฯ<br /><br />4. บริเวณที่ราบลุ่ม เป็นพื้นที่เหมาะในการทำนาข้าว และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ในหน้าแล้ง ตัวหมู่บ้านจะตั้งอยู่บริเวณขอบหรือแนวของที่ราบติดกับชายป่า แต่น้ำท่วมไม่ถึงในหน้าฝน บางพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มมีน้ำขังตลอดปี เรียกว่า "ป่าบุ่งป่าทาม" เป็นต้น<br /><br />5. บริเวณป่าละเมาะ มักเป็นที่สาธารณะสามารถใช้เลี้ยงสัตว์และหาของป่าเป็นอาหารได้ ตลอดจนมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่นำมาเป็นอาหารยังชีพ รวมทั้งสมุนไพรใช้รักษาโรค และเป็นสถานที่ยกเว้นไว้เป็นดอนปู่ตาตามคติความเชื่อของวัฒนธรรมกลุ่มไต-ลาว<br /></span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">ความเชื่อในการตั้งหมู่บ้าน</span><br /><br /><span style="color:#009900;">การเลือกภูมิประเทศเพื่อตั้งหมู่บ้านในภาคอีสานจะเห็นได้ว่ามีหลักสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ ต้องเลือกทำเลที่ประกอบด้วย<br /><br /></span></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMxYwGKytKUisSIAJ_B-IDBt9GPHC89Ruy_hPxMgo-Zs07d9lyBRp4DD4nmZt4QDLTp-Tjo4u3Xown_Nx6F4CJxJ-N8zg801PAEvS1gBBuIWIAR8uW-NT_TDlhhxnZxjHax4WyT-6N9eUC/s1600-h/l13-46c.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 238px; DISPLAY: block; HEIGHT: 279px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424940630504300050" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMxYwGKytKUisSIAJ_B-IDBt9GPHC89Ruy_hPxMgo-Zs07d9lyBRp4DD4nmZt4QDLTp-Tjo4u3Xown_Nx6F4CJxJ-N8zg801PAEvS1gBBuIWIAR8uW-NT_TDlhhxnZxjHax4WyT-6N9eUC/s320/l13-46c.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><br /><br /><span style="color:#ff0000;">1. น้ำ เพื่อการยังชีพและประกอบการเกษตรกรรม<br /><br />2. นา เพื่อการปลูกข้าว (ข้าวเหนียว) เป็นอาหารหลัก<br /><br />3. โนน เพื่อการสร้างบ้านแปงเมือง ที่น้ำท่วมไม่ถึง<br /><br /></span><span style="color:#33cc00;">ส่วนคติความเชื่อของชาวอีสานในการดำเนินชีวิต ชาวอีสานมี ความเชื่อที่ได้รับการสืบทอดมาจากบรรพบุรุษกล่าวคือ ความเชื่อในอำนาจลี้ลับที่เหนือธรรมชาติ และเชื่อในการครองเรือน การทำมาหาเลี้ยงชีพ สิ่งใดที่โบราณห้ามว่าเป็นโทษ และเป็นความเดือดร้อนมาให้ก็จะละเว้นและไม่ยอมทำสิ่งนั้น<br />สำหรับความเชื่อในการตั้งหมู่บ้านก็ไม่ต่างกันนัก ชาวอีสานมีการนับถือ"ผีบ้าน" และแถนหรือ "ผีฟ้า"มีการเซ่นสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษเพื่อให้ช่วยปกป้องรักษาลูกหลาน มีการตั้ง "ศาลเจ้าปู่" ไว้ที่ดอนปู่ตา ซึ่งมีชัยภูมิเป็นโคก น้ำท่วมไม่ถึง มีต้นไม้ใหญ่หนาทึบ มีการก่อสร้าง "ตูบ" เป็นที่สถิตของเจ้าปู่ทั้งหลาย ตลอดจนการตั้ง "บือบ้าน"(หลักบ้าน)เพื่อเป็นสิริมงคลของหมู่บ้าน และมีการเซ่น "ผีอาฮัก" คือเทพารักษ์ให้ดูแลคุ้มครองผู้คนในหมู่บ้านให้อยู่ดีมีสุขตลอดไป<br /><span style="color:#ff0000;">พิธีเลี้ยง "ผีปู่ตา"</span> จะกระทำในเดือน 7 คำว่า "ปู่ตา" หมายถึงญาติฝ่ายพ่อ(ปู่-ย่า)และญาติฝ่ายแม่(ตา-ยาย)ซึ่งทั้งสี่คนนี้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นที่เคารพของลูกหลาน ครั้นเมื่อตายไปจึงปลูกหอหรือที่ชาวอีสานเรียก"ตูบ" มักใช้เสา 4 ต้น หลังคาจั่วพื้นสูง โดยเลือกเอาสถานที่เป็นดงใกล้บ้านมีต้นไม้ใหญ่และสัตว์ป่านานาชนิดเรียกว่า"ดงปู่ตา" ถือเป็นที่ศักดิ์สิทธ์ ใครไปรุกล้ำตัดต้นไม้หรือล่าสัตว์ไม่ได้ หรือแม้แต่แสดงวาจาหยาบคายก็ไม่ได้ ปู่ตาจะลงโทษกระทำให้เจ็บหัวปวดท้อง และเมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วย มีคนล้มตายผิดปกติเกิดขึ้นในหมู่บ้านชาวอีสานถือกันว่า"หลักเหงี่ยงหงวย" ต้องทำพิธีตอกหลักบ้านใหม่ให้เที่ยงตรง มีการสวดมนต์เลี้ยงพระสงฆ์ เซ่นสรวงเทพยาดาอารักษ์ แล้วหาหลักไม้แก่นมาปักใหม่ ซึ่งต้องมีคาถาหรือยันต์ใส่พร้อมกับสวดญัตติเสาก่อนเอาลงดินในบริเวณกลางบ้าน ทั้งนี้เพราะชาวอีสานมีความเชื่อในการตั้ง "หลักบ้าน" เพราะหลักบ้านเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผังชุมชนระดับหมู่บ้าน และเปรียบเสมือนหัวใจของบ้าน เมื่อชุมชนเติบโตขึ้น "หลักบ้าน" ก็พัฒนาไปสู่"หลักเมือง" ดังที่ปรากฎอยู่ทั่วไปในประเทศไทย<br />หลักบ้านมักสร้างด้วยไม้มงคล เช่น ไม้คูน ไม้ยอ มีทั้งหลักประธานหลักเดี่ยวและมีพร้อมหลักบริวารรายล้อม ส่วนรูปแบบของหลักบ้านนั้น มักควั่นหัวไม้เป็นเสาทรงบัวตูมหยาบ ๆ บางแห่งก็ถากให้เป็นปลายแหลมแล้วทำหยัก"เอวขัน"ไว้ส่วนล่าง<br /><br /></span><span style="color:#ff0000;">ความเชื่อในการสร้างเรือนอีสาน<br /><br /></span><span style="color:#ff6666;">อันดับแรกต้องพิจารณาสถานที่ ๆ จะสร้างเรือนก่อน โดยต้องเลือกเอาสถานที่ปลอดโปร่ง ไม่มีหลุมบ่อ ไม่มีจอมปลวก ไม่มีหลุมผี ไม่มีตอไม้ใหญ่ และต้องดูความสูงต่ำ ลาดเอียงของพื้นดินว่าลาดเอียงไปทางทิศใดและจะเป็นมงคลหรือไม่ ดังนี้<br /><br />1. พื้นดินใด สูงหนใต้ ต่ำทางเหนือ เรียกว่า "ไชยะเต ดีหลี"<br /><br />2. พื้นดินใด สูงหนตะวันตก ต่ำทางตะวันออก เรียกว่า "ยสะศรี-ดีหลี"<br /><br />3. พื้นดินใด สูงทางอีสาน ต่ำทางหรดี เรียกว่า "ไม่ดี"<br /><br />4. พื้นดินใด สูงทางอาคเนย์ ต่ำทางพายัพ เรียกว่า "เตโซ" เฮือนนั้นมิดี เป็น ไข้ พยาธิฮ้อนใจ<br /><br />เมื่อเลือกได้พื้นที่ปลูกเรือนแล้ว จะมีการเสี่ยงทายพื้นที่นั้นอีกครั้งหนึ่ง โดยจัดข้าว 3 กระทง คือ ข้าวเหนียว 1 กระทง,ข้าวเหนียวดำ 1 กระทงและข้าวเหนียวแดง 1 กระทง นำไป วางไว้ตรงหลักกลางที่ดินเพื่อให้กากิน ถ้ากากินข้าวดำ ท่านว่าอย่าอยู่เพราะที่นั้นไม่ดี ถ้ากากินข้าวแดง ท่านว่าไม่ดียิ่งเป็นอัปมงคลมาก ถ้ากากินข้าวขาว ท่านว่าดีหลี จะอยู่เย็นเป็นสุข ให้รีบเฮ็ดเรือนสมสร้างให้ เสร็จเร็วไว<br />การเลือกพื้นที่ที่จะปลูกเรือนอีกวิธีหนึ่งคือ การชิมรสของดินโดยขุดหลุมลึกราวศอกเศษ ๆ เอาใบตองปูไว้ก้นหลุม แล้วหาหญ้าคาสดมาวางไว้บนใบตอง ทิ้งไว้ค้างคืนจะได้ไอดินเป็นเหงื่อจับอยู่หน้าใบตอง จากนั้นให้ชิมเหงื่อที่จับบนใบตอง หากมีรสหวาน เป็นดินที่พออยู่ได้ มีรสจืด เป็นดินที่เป็นมงคล จะอยู่เย็นเป็นสุข มีรสเค็ม เป็นอัปมงคล ใครอยู่มักไม่ยั่งยืน มีรสเปรี้ยว พออยู่ได้แต่ไม่ใคร่ดีนัก จะมีทุกข์เพราะเจ็บไข้อยู่เสมอ<br /><br />นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องกลิ่นของดินอีกด้วย โดยการขุดดินลึกราว 1 ศอก เอาดินขึ้นมาดมกลิ่นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อกันว่า ถ้าดินมีกลิ่นหอม ถือว่าดินนั้นอุดมดี เป็นมงคลอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าดินมีกลิ่นเย็น กลิ่นเหม็น กลิ่นคาว ถือว่าดินนั้นไม่ดี ใครปลูกสร้างบ้านอยู่เป็นอัปมงคล<br />การดูพื้นที่ก่อนการสร้างเรือน ชาวอีสานแต่โบราณถือกันมากแต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต โดยยังใช้คติเดิมแต่มีการเลี่ยงหรือแก้เคล็ด เช่น การชิมดิน หากเป็นรสเค็มหรือเปรี้ยวก็แก้เคล็ดโดยการบอกว่าจืด ส่วนการดมกลิ่นดิน หากมีกลิ่นเหม็นคาวก็จะบอกเอาเคล็ดว่าหอม เป็นต้น<br />ฤกษ์ยามในการปลูกเรือน<br /></span><br /><span style="color:#ff0000;">ฤกษ์เดือน</span><br /><br /><span style="color:#33cc00;">1. เดือนเจียง (เดือนอ้าย) นาคนั้นนอนหลับหากปลูกเรือนอยู่มักตาย<br /><br />2. เดือนยี่ นาคนอนตื่น ปลูกเรือนอยู่ดี<br /><br />3. เดือนสาม นาคหากินทางเหนือ มิดี อยู่ฮ้อนไฟจักไหม้<br /><br />4. เดือนสี่ นาคหากินอยู่เรือน ปลูกเรือนอยู่ดีเป็นมงคล<br /><br />5. เดือนห้า นาคพ่ายครุฑหนี ปลูกเรือนร้อนนอกร้อนใจ มิดี<br /><br />6. เดือนหก จะบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทอง มิตรสหายมาก<br /><br />7. เดือนเจ็ด นาคพ่ายหนี จักได้พรากจากเรือนมิดี<br /><br />8. เดือนแปด นาคเห็นครุฑ จักได้เสียของมิรู้แล้ว<br /><br />9. เดือนเก้า นาคประดับตน ปลูกเรือนมีข้าวของกินมิรู้หมด<br /><br />10. เดือนสิบ นาคถอดเครื่องประดับ ปลูกเรือนเข็ญใจ และคนในเรือนมักเจ็บ ไข้ตาย<br /><br />11. เดือนสิบเอ็ด จะเกิดทุกข์ภัยอันตรายต่าง ๆ มักจะมีคนฟ้องร้องกล่าวหา จัก มีโทษทัณฑ์<br /><br />12. เดือนสิบสอง จะได้ทรัพย์สิน เงินทอง ข้าวของ และคนใช้ดีหลีแล<br /><br /></span><span style="color:#ff0000;">ฤกษ์วัน<br /></span><br /><span style="color:#33cc00;">1. วันอาทิตย์ ปลูกเรือนจะเกิดทุกข์อุบาทว์<br /><br />2. วันจันทร์ ทำแล้ว 2 เดือนจะได้ลาภผ้าผ่อนและของขาวเหลือง เป็นที่พึงพอใจ<br /><br />3. วันอังคาร ทำแล้ว 3 วันไฟจะไหม้หรือเจ็บไข้<br /><br />4. วันพุธ ปลูกเรือนจะได้ลาภเครื่องอุปโภคมีผ้าผ่อน เป็นต้น<br /><br />5. วันพฤหัสบดี ปลูกเรือนจะเกิดสุขสบายใจ ทำแล้ว 5 เดือนจะได้โชคลาภมากมาย<br /><br />6. วันศุกร์ ปลูกเรือนจะมีความทุกข์และความสุขก้ำกึ่งกัน ทำแล้ว 3 เดือน จะได้ลาภ เล็กน้อย<br /><br />7. วันเสาร์ ปลูกเรือนจะเกิดพยาธิ หรือเลือดตกยางออก ทำแล้ว 4 เดือนจะลำบาก ห้ามไม่ให้ทำแล<br /><br /></span><span style="color:#ff0000;">ลักษณะเรือนไทยอีสาน<br /><br /></span></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeg-GE_0T2SuZeJfiO896YpV3WuuZerOoY5iNO923FIdz0VE0HBW0Lrk2-ytS685B2lPdeSwT5VQOkaVU86SFgk3MjOPUAVZL1AdAwkQH49sYRU6jwfeolZGR_jhoOSj4xGeaps6Ra2FNm/s1600-h/p8_2.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 249px; DISPLAY: block; HEIGHT: 168px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424940843661195010" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjeg-GE_0T2SuZeJfiO896YpV3WuuZerOoY5iNO923FIdz0VE0HBW0Lrk2-ytS685B2lPdeSwT5VQOkaVU86SFgk3MjOPUAVZL1AdAwkQH49sYRU6jwfeolZGR_jhoOSj4xGeaps6Ra2FNm/s320/p8_2.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><br /><br /><br /><span style="color:#ff6600;">คำว่า “บ้าน “ กับ “เฮือน” (ความหมายเช่นเดียวกับ “เรือน”) สำหรับความเข้าใจของ ชาวอีสานแล้วจะต่างกัน คำว่า “บ้าน” มักจะหมายถึง “หมู่บ้าน” มิใช่บ้านเป็นหลัง ๆ เช่น บ้านโนนสมบูรณ์ บ้านนาคำแคน หรือบ้านดงมะไฟ เป็นต้น ส่วนคำว่า “ เฮือน” นั้นชาวอีสานหมายถึงเรือนที่เป็นหลัง ๆ<br />นอกจากคำว่า “เฮือน “ แล้ว อีสานยังมีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะการใช้สอยใกล้เคียงกัน แต่รูปแบบแตกต่างกันไป เช่น คำว่า “โฮง” หมายถึงที่พักอาศัยใหญ่กว่า “เฮือน” มักมีหลายห้อง เป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองหรือเจ้าครองนครในสมัยโบราณ<br />คำว่า “คุ้ม” หมายถึง บริเวณที่มี “เฮือน” รวมกันอยู่หลาย ๆ หลัง เป็นหมู่อยู่ในละแวกเดียวกัน เช่น คุ้มวัดเหนือ คุ้มวัดใต้ และคุ้มหนองบัว เป็นต้น คำว่า “ตูบ” หมายถึง กระท่อมที่ปลูกไว้เป็นที่พักชั่วคราว มุงด้วยหญ้าหรือใบไม้<br />ชาวอีสานมีความเชื่อในการสร้างเรือนให้ด้านกว้างหันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก ให้ด้านยาวหันไปทางทิศเหนือและใต้ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า วางเรือนแบบ “ล่องตาเว็น” (ตามตะวัน) เพราะถือกันว่า หากสร้างเรือนให้ “ขวางตาเว็น” แล้วจะ “ขะลำ” คือเป็นอัปมงคลทำให้ผู้อยู่ไม่มีความสุข<br />บริเวณรอบ ๆ เรือนอีสานไม่นิยมทำรั้ว เพราะเป็นสังคมเครือญาติมักทำยุ้งข้าวไว้ใกล้เรือน บางแห่งทำเพิงต่อจากยุ้งข้าว มีเสารับมุงด้วยหญ้าหรือแป้นไม้ เพื่อเป็นที่ติดตั้งครกกระเดื่องไว้ตำข้าว ส่วนใต้ถุนบ้านซึ่งเป็นบริเวณที่มีการใช้สอยมากที่สุด จะมีการตั้งหูกไว้ทอผ้า กี่ทอเสื่อ แคร่ไว้ปั่นด้วย และเลี้ยงลูกหลาน<br />นอกจากนั้นแล้ว ใต้ถุนยังใช้เก็บไหหมักปลาร้า และสามารถกั้นเป็นคอกสัตว์เลี้ยง ใช้เก็บเครื่องมือเกษตรกรรม ตลอดจนใช้จอดเกวียน<br />อย่างไรก็ตามการจัดวางแผงผังของห้องและองค์ประกอบต่าง ๆ ในเรือนไทยอีสานมีดังนี้</span><br /><span style="color:#33cc00;">1. เรือนนอนใหญ่ จะวางด้านจั่วรับทิศตะวันออก-ตะวันตก (ตามตะวัน) ส่วนมากจะมีความยาว 3 ช่วงเสา เรียกว่า “ เรือนสามห้อง” ใต้ถุนโล่ง ชั้นบนแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ<br />1.1 ห้องเปิง เป็นห้องนอนของลูกชายมักไม่กั้นห้องด้านหัวนอนมีหิ้งประดิษฐานพระพุทธรูปหรือสิ่งเคารพบูชา เช่น เครื่องราง ของขลัง เป็นต้น<br /><br />1.2 ห้องพ่อ-แม่อาจกั้นเป็นห้องหรือบางทีก็ปล่อยโล่ง<br /><br />1.3 ห้องนอนลูกสาว มีประตูเข้ามีฝากั้นมิดชิดหากมีลูกเขยจะให้นอนในห้องนี้ซึ่ง ชาวอีสานเรียกว่า” ห้องส่วม”<br /><br />ส่วนชั้นล่างของเรือนนอนใหญ่ อาจใช้สอยได้อีกกล่าวคือ กั้นเป็นคอกวัวควาย ตั้งแคร่นอนพักผ่อนในตอนกลางวัน และทำหัตถกรรมจักรสานถักทอของสมาชิกในครอบครัวเก็บอุปกรณ์การทำนาทำไร่ เช่น จอบ เสียม คราด ตลอดจนเกวียน เป็นต้น<br /><br />2. เกย (ชานโล่งมีหลังคาคลุม) เป็นพื้นที่ลดระดับลงมาจากเรือนนอนใหญ่ มักใช้เป็นที่รับแขก ที่รับประทานอาหาร และใช้เป็นที่หลับนอนของลูกชายและแขกเหรื่อที่กลับมาจากงานบุญในตอนค่ำคืนส่วนของใต้ถุนจะเตี้ยกว่าปกติ ซึ่งอาจใช้เป็นที่เก็บฟืนหรือสิ่งของที่ไม่ใหญ่โตนัก<br /><br />3. เรือนแฝด เป็นเรือนตรงจั่วเช่นเดียวกับเรือนนอน ในกรณีที่พื้นทั้งสองหลังเสมอกันโครงสร้างทั้งคานพื้นและขื่อหลังคาจะฝากไว้กับเรือนนอน แต่หากเป็นเรือนแฝดลดพื้นลงมามากกว่าเรือนนอนก็มักเสริมเสาเหล็กมารับคานไว้อีกแถวหนึ่งต่างหาก<br /><br />4. เรือนโข่ง มีลักษณะเป็นเรือนทรงจั่วเช่นเดียวกับเรือนนอนใหญ่ แตกต่างจากเรือนแฝดตรงที่ โครงสร้างของเรือนโข่ง จะแยกออกจากเรือนนอนโดยสิ้นเชิง สามารถรื้อถอนออกไปปลูกใหม่ได้โดยไม่กระทบกระเทือนต่อเรือนนอน<br /><br />การต่อเชื่อมของชายคาทั้งสองหลังใช้รางน้ำ โดยใช้ไม้กระดาน 2 แผ่น ต่อกันเป็นรูปตัววีแล้วอุดด้วยชันผสมขี้เลื่อย ในกรณีที่เรือนไม่มีครัวก็สามารถใช้พื้นที่ส่วนเรือนโข่งนี้ทำครัว ชั่วคราวได้<br /><br />5. เรือนไฟ (เรือนครัว) ส่วนมากจะเป็นเรือน 2 ช่วงเสามีจั่วโปร่งเพื่อระบายควันไฟ ฝานิยมใช้ไม้ไผ่สานลายทแยงหรือลายขัด<br /><br />6. ชานแดด เป็นบริเวณนอกชานเชื่อมระหว่างเกย เรือนแฝดกับเรือนไฟ มีบันไดขึ้นด้านหน้าเรือน มี “ฮ้างแอ่งน้ำ” (ร้านหม้อน้ำ) อยู่ตรงขอบของชานแดด บางเรือนที่มีบันไดขึ้นลงทางด้านหลังจะมี “ชานมน” ลดระดับลงไปเล็กน้อยโดยอยู่ด้านหน้าของเรือนไฟ เพื่อใช้เป็นที่ล้างภาชนะตั้งโอ่งน้ำและวางกระบะปลูกพืชผักสวนครัวต่าง ๆ<br /></span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">รูปแบบของเรือนไทยอีสาน<br /></span><br /><span style="color:#ff0000;">รูปแบบของเรือนไทยอีสานสามารถแบ่งได้ตามประเภทของการพักอาศัย เพื่อตอบสนองประโยชน์ใช้สอยในวาระต่าง ๆ กันดังต่อไปนี้<br />1. ประเภทชั่วคราว หรือใช้เฉพาะฤดูกาล ได้แก่ “เถียงนา” หรือ”เถียงไร่” ส่วนใหญ่จะ ยกพื้นสูง เสาเรือนใช้ไม้จริง ส่วนโครงใช้ไม้ไผ่ หลังคามุงหญ้าหรือแป้นไม้ที่รื้อมาจากเรือนเก่า พื้นเป็นไม้ไผ่สับ ในกรณีที่ไร่นาอยู่ไม่ไกลจากเรือนพักสามารถไปกลับได้ภายในวันเดียวจะไม่นิยมกั้นฝา หากต้องค้างคืนก็มักกั้นฝาด้วย “แถบตอง” คือสานไม้ไผ่เป็นตารางขนาบใบต้นเหียงหรือ ใบต้นพวง ซึ่งจะทนทายอยู่ราว 1-2 ปี<br /><br />2. ประเภทกึ่งถาวร เป็นเรือนขนาดเล็กที่ไม่มั่นคงแข็งแรงนักชาวอีสานเรียกว่า ”เรือนเหย้า” หรือ “เฮือนย้าว” เป็นการเริ่มต้นชีวิตการครองเรือน และค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบไป สู่การมีเรือนถาวรในที่สุด<br /><br />ผู้ที่จะมี” เรือนเหย้า” นี้จะเป็นเขยของบ้านที่เริ่มแยกตัวออกไปจากเรือนใหญ่( เรือนพ่อแม่)<br /><br />เพราะในแง่ความเชื่อของชาวอีสาน เรือนหลังเดียวไม่ควรให้ครอบครัวของพี่น้องอยู่ร่วมกันหลายครอบครัวในบ่านหลังหนึ่ง ๆ ควรมีเขยเดียวเท่านั้นหากมีเขยมากกว่าหนึ่งคนมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันถือว่าจะเกิด “ ขะลำ” หรือสิ่งอัปมงคล<br /><br />เรือนประเภทนี้วัสดุก่อสร้างมักไม่พิถีพิถันนัก อาจเป็นแบบ “ เรือนเครื่องผูก” หรือเป็นแบบผสมของ “เรือนเครื่องสับ” ก็ได้<br /><br />เรือนประเภทกึ่งถาวรนี้สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ<br /><br />2.1 เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด”ตูบต่อเล้า” เป็นเรือนที่อิงเข้ากับตัวเล้าข้าว ซึ่งมีอยู่เกือบทุกครัวเรือนมีลักษณะคล้ายเพิงหมาแหงนทั่วไปด้านสูงจะไปอาศัยโครงสร้างของเล้าข้าวเป็น ตัวยึด ต่อหลังคาลาดต่ำลงไปทางด้านข้างของเล้า แล้วใช้เสาไม้จริงตั้งรับเพียง 2-3 ต้น มุงหลังคาด้วยหญ้าหรือสังกะสี ยกพื้นเตี้ย ๆ กั้นฝาแบบชั่วคราว อาศัยกันไปก่อนสักระยะหนึ่ง พอตั้งตัวได้ก็จะย้ายไปปลูกเรือนใหญ่ถาวรอยู่เอง ตรงส่วนที่เป็น “ตูบต่อเล้า” นี้ก็ทิ้งให้เป็นที่นอนเล่นของพ่อแม่ต่อไป<br /><br />2.2 เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ดั้งต่อดิน” เป็นเรือนพักอาศัยที่แยกตัวออกจากเรือนใหญ่ทำนองเดียวกัน “ตูบต่อเล้า” แต่จะดูเป็นสัดส่วนมากกว่า ขนาดของพื้นที่ค่อนข้างน้อยกว้างไม่เกิน 2 เมตร ยาวไม่เกิน 5 เมตร นิยมทำ 2 ช่วงเสา คำว่า “ดั้งต่อดิน” เป็นคำเรียกของชาวไทยอีสาน ที่หมายถึง ตัวเสาดั้งจะฝังถึงดินและใช้ไม้ท่อนเดียวตลอดสูงขึ้นไปรับอกไก่<br /><br />วิธีสร้าง “ดั้งต่อดิน” มักใช้ผูกโครงสร้างเหมือนกับเรือนเครื่องผูกตัวเสาและเครื่องบนนิยมใช้ไม้จริงทุบเปลือก หลังคามักมุงด้วยหลังคาทีกรองเป็นตับแล้วเรียกว่า “ไฟหญ้า” หรือใช้แป้นไม้ที่รื้อมาจากเรือนใหญ่<br /><br />ฝาเรือนมักใช้ฝาแถบตองโดยใช้ใบกุงหรือใบชาดามาประกบกับไม้ไผ่สานโปร่งเป็นตาราง หรือทำเป็นฝาไม้ไผ่สับฟากสานลายขัดหรือลายสองทแยงตามแต่สะดวก ส่วนพื้นนิยมใช้พื้นสับฟากหรือใช้แผ่นกระดานปูรอง โดยใช่ไม้ไผ่ผ่าซีกมามัดขนาบกันแผ่นกระดารขยับเลื่อน<br /><br />2.3 เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ดั้งตั้งคาน” ยังอยู่ในประเภทของเรือนเครื่องผูกมีความแตกต่างจากเรือน”ดั้งต่อดิน” ตรงที่เสาดั้งต้นกลางจะลงมาพักบนคานของด้านสกัดไม่ต่อลงไป ถึงดิน ส่วนการใช้วัสดุมุงหลังคา ฝาและพื้นเรือนจะใช้เช่นเดียวกับเรือนประเภท “ดั้งต่อดิน”<br /><br />3. ประเภทถาวร ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น “เรือนเครื่องสับ” สังเกตได้จากการเลือกใช้วัสดุ รูปแบบของการก่อสร้างประโยชน์ใช้สอยและความประณีตทางช่าง อาจจำแนกเรือนถาวรได้เป็น 3 ชนิดดังนี้<br /><br />3.1 ชนิดเรือนเกย มีลักษณะใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่วเสาใช้ไม้กลม 8 เหลี่ยม หรือเสา 4 เหลี่ยม ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เกย ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งน้ำ (ร้านหม้อน้ำ)<br /><br />3.2 ชนิดเรือนแฝด มีลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยมเช่นเดียวกัน ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เรือนแฝด เกย ชานแดด เรือนไฟ ฮ้างแอ่งน้ำ<br /><br />3.3 ชนิดเรือนโข่ง มีลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยม มีจั่วแฝดอยู่ชิดติดกัน ไม่นิยมมีเกย เรือนชนิดนี้ประพกอบด้วย เรือนใหญ่ เรือนโข่ง ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งน้ำ<br /><br /></span><span style="color:#33cc00;">วิถีชีวิตของคนอีสานข้อปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของคนอีสาน<br /></span><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKsvZf_0PEW72vurfg_ju2IvYaR1nDWQBoIp8YNq54QqmMSdjrv8weaBFFetVUtk-PWC-EJpaGL_vQMisPRQAfJnO4duYKQ0Bqttk1cjelxYVZRqevag8q__a8uXDN8wP2HZhWIvKhk8qW/s1600-h/isan.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 240px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424748723094936850" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKsvZf_0PEW72vurfg_ju2IvYaR1nDWQBoIp8YNq54QqmMSdjrv8weaBFFetVUtk-PWC-EJpaGL_vQMisPRQAfJnO4duYKQ0Bqttk1cjelxYVZRqevag8q__a8uXDN8wP2HZhWIvKhk8qW/s320/isan.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><br /><span style="color:#33cc00;">คองสิบสี่ คือ วิถีปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของคนอีสาน โดยต้องอยู่ในหลักธรรมและคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก รองลงมาคือคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ<br /><br />คองสิบสี่ หมายถึง กฎข้อบังคับในการครองตน แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ฝ่ายพระราชา ฝ่ายพระสงฆ์ ฝ่ายบุคคลทั่วไป โดยแต่ละฝ่ายก็จะมี คองสิบสี่ แตกต่างกันไป<br />ครอบสิบสี่ข้อ - กฎหมายสำหรับพระราชาผู้ปกครองบ้านเมืองพึงปฏิบัติ เพื่อไพร่ฟ้า ข้าแผ่นดินมีความสุขร่มเย็น (ถอดออกมาจากคำกลอนโดยไม่เปลี่ยนแปลงสำนวนเดิม)<br /><br /><span style="color:#ff0000;">คองสิบสี่ของพระชารา</span><br /><span style="color:#3333ff;">ข้อหนึ่ง</span> เป็นท้าวพระยาจัดตั้งแต่ง ซื่อซามนามกร เสนาอามาตย์ ราชมุนตรี พิจารณา สืบหา ผู้ซื่อผู้คด ผู้ฮ้ายผู้ดี ผู้ช่างแถลงแปงลิ้น มักสับส่อถ้อยคำอันหนักอันเบา อันน้อยอันใหญ่ ให้ไว้ในใจ นั้นก่อ สมที่จะฟัง จิ่งฟัง บ่สมที่จะฟังอย่าฟัง สมตั้ง ใจซื่อ ให้เพียงใดจิ่งตั้งใจเพียงนั้น ให้แต่งตั้งผู้ซื่อสัตย์สุจริตให้หมั่นเที่ยง ผู้ฮู้จัก ราชการบ้านเมือง แต่ก่อนมา บ่มข่มเห็งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ให้หายใจเข้าออก ได้ จิ่งตั้งให้เป็นเสนาอามาตย์<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อสอง</span> เป็นท้าวพระยา ให้เนามุนตรี เป็นสามัคคีพร้อมเพียงกัน ให้หมั่นประชุมกัน อย่าให้ขาด อันใดอันหนึ่งจักให้อาณัติข้าเสิก (ข้าศึก) เกรงขาม และให้เขาอยู่ ในเงื้อมมือเจ้าตน ด้วยยุทธกรรมปัญญา ให้บ้านเมืองก้านกุ่งฮุ่งเฮือง เป็นที่ กว้างขวาง ให้ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอยู่เย็นเป็นสุข อย่ากดขี่ข่มเห็ง เทอญ<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อสาม</span> เป็นท้าวพระยา เถิงวันขึ้นสังขารปีใหม่ ถ่ายสังวาสมาสเกณฑ์ ให้เชิญพระแก้ว พระบาง พระพุทธฮูป สรงน้ำอบ น้ำหอม ไว้ในสระพัง สักการะ ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ฟังธรรมจำศีล คบงัน 7 วัน ทุกๆ วัดให้เป็นการซื่นซมยินดีแก่พระศาสนา ตบพระเจดีย์ทราย บูชาเทวดาทั้งหลายทางน้ำทางบก บ้านเมืองจิ่งวุฒิซุ่มเย็น น้ำฟ้าสายฝน เข้าไฮ่เข้านาบริบูรณ์<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อสี่</span> เป็นทางพระยา วันสังขารขึ้น ให้นิมนต์พระภิกขุ แห่น้ำฝ่ายใต้เมือฝ่ายเหนือ วันสังขารพักให้ฝ่ายเหนือมาวัดฝ่ายใต้ เพื่อบูชาเทวดา หลวงไปยามหัวเมือง ท้ายเมือง ของทุกๆ ฤดูปี บ้านเมืองจิ่งวุฒิจำเริญ ให้ราษฎรอาบน้ำอบน้ำหอม หดสรงพระภิกษุสงฆ์บ้านเมือง จิ่งอยู่เย็นเป็นสุข ให้ราษฎรแต่งหม้ออุบัง เพื่อ กั้งบังโพยภัยอันตรายแก่ราษฎรทั่วไป เทอญ<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อห้า</span> เป็นท้าวพระยา วันสังขารปีใหม่ ให้เสนาอามาตย์ ราชมุนตรี พญาเพีย ท้าวขุน หัวบ้านหัวเมือง ตำหรวดอาสา มหาดเล็กสีพายใต้แจก มีเทียนคู่ขึ้นทูนเกล้า ทูนกระหม่อมถวายราชบาส เพียกะซักมุงคุลถวายพานหมากหมั้นหมากยืน ปุโรหิตถวายพร ให้มีอายุ วัณโณ สุขัง พะลัง แก่องค์พระเจ้ามหาชีวิต แล้วเอา น้ำมหาพุทธาภิเศก อันพระรัสสิไปสถาปนาไว้ ถ้ำนกแอ่นถ้ำนางอั่น อันชื่อว่า น้ำเที่ยงนั้น แห่มาสรงพระพุทธฮูปวัดหลวง ในเมืองทุกวัด ในถ้ำติ่งทวารทวารา ที่ปากน้ำอู ประตูเมืองฝ่ายเหนือ แล้วจิ่งนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ นำบาลีพระพุทธ- ฮูป ในพระราชวังตามธรรมเนียม จิ่งเป็นอันโครพย่ำแยง แด่พระสงฆ์เจ้าถืก ต้อง ตามพระอรรถกถาจารย์ กล่าวไว้หั้นแล<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อหก</span> เป็นท้าวพระยาในวันสังขาร เป็นวันเสี้ยงฤดูเก่า ปีใหม่จักมาเถิง ให้เจ้านาย เสนา ข้าราชการ มุนตรีผู้มีนามยศ และเพียหัวหลิ่งหัวพัน หัวบ้านหัวเมือง สิบเอ็ดฮ้อยน้อยใหญ่ ซึ่งเป็นข้าน้อยขันฑสีมาตำบล เข้ามาถือน้ำพิพัฒน์ สัตยานุศัตย์ต่อพระพักตร์ พระพุทธเจ้า พระสังฆเจ้า ให้เป็นการซื่อสัตย์ ต่อ แผ่นดิน ป้องกันก่อให้ขบถคึดฮ้ายต่อแผ่นดิน<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อเจ็ด</span> ท้าวพระยา คันเถิงฤดูเดือนเจ็ด ให้เลี้ยงเทพยดาอาฮักษ์ มเหศักดิ์ หลักเมือง ตาเมือง เสื้อเมือง ทรงเมือง ตามคองสิบสี่ แล้วให้เชิญเทพดาอาฮัก มเหศักดิ์ ให้เข้ามาซำฮะบ้านเมือง ป้องกันอันตราย ตามบูฮานราชประเพณีสั่งไว้ว่า เมืองชั่วบ่มีธรรมเป็นเครื่องคุ้มครอง ได้เอาไสยศาสตร์คือ ผีเมืองคุ้มครอง จิ่งมีฤทธิ์อันนี้สืบต่อมา เพื่อบ่ให้เกิดอันตรายโพยภัย ด้วยผีสางคางแดง<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อแปด</span> เป็นท้าวพระยา คันเถิงเดือนแปด ให้สูตรซำฮะบ้านเมือง สืบซะตาเมือง บูชา เทวดาอาฮักษ์ทั้งแปดทิศ บูชาพระรัสสีทั้งแปด สองพี่น้องพระยานาค 15 ตระกูล สูตรเถิงสามวันเจ็ดวัน แล้วให้ราษฎรฮอบเมืองยิงปืน หว่านหินแห่และ ทราย เพื่อให้หายพยาธิโรคา โพยภัยอันตราย ให้อยู่เย็นเป็นสุขแก่บ้านเมือง ทุกประการ<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อเก้า</span> เป็นท้าวพระยาคันเถิงเดือนเก้า จำเริญ (ดับ) ให้ป่าวเตินราษฎรบ้านเมืองท่าน ห่อเข้าประดับดิน ไปหาปู่ย่าตายาย ลูกเต้า หลานเหลน อันเถิงแก่อนิจกรรม ไปสู่ ปรโลก ทั่วทุกแห่งแล้ว ให้เจ้านายเสนาข้าราชการ ทั่วบ้านเมืองสิบฮ้อย น้อยใหญ่ ลงมือถือน้ำพระพิพัฒนิสัยานุศัตย์อีกเทื่อหนึ่ง แล้วซ่วงเฮือฉลอง อุสุภนาคราช ปากดงและปากคาน กับพระยานาคสิบห้าตระกูล อันฮักษา บ้านเมือง จิ่งจะอยู่เย็นเป็นสุข เข้าก้าไฮ่นาบริบูรณ์<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อสิบ</span> เป็นท้าวพระยา คันเถิงเดือนสิบเพ็งให้ป่าวราษฎร ให้ทานสลากภัตร หยาดน้ำ อุทิศไปหาเทพดาอาฮักษ์เมือง อันฮักษาพระพุทธศาสนา กับทั้งพ่อแม่เผ่าพงษ์ วงศาแห่งตนเทอญ<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อสิบเอ็ด</span> เป็นท้าวพระยา เถิงฤดูเดือนสิบเอ้ดเพ็ง ให้ฉลองพุทธาภิเศก พระธาตุจอมศรี ทุกๆ ปีอย่าขาด ด้วยเป็นศรีบ้านศรีเมือง แล้วให้ไปไหว้พระภิกษุสังฆะเจ้า มา ขอดสิม (ผูกพัทธสีมา) ในสนามแล้วให้สังฆเจ้าปวารณาในที่นั้น คันแล้วกิจ สงฆ์ ให้สูตรถอนสิมนั้นเสีย บ้านเมืองจิ่งวุฒิจำเริญ เสนาอามาตย์จิ่งจักเป็น สามัคคี พร้อมเพียงกันจัดราชการบ้านเมือง จิ่งบ่ขัดข้องแก่กันและกัน คันเถิง แฮมค่ำหนึ่ง ให้ป่าวเตินราษฎรไหลเฮือไฟ บูชาพระยานาคสิบห้าตระกูล บ้านเมืองจิ่งจักอยู่สุขเกษมเติมครองแล<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อสิบสอง</span> เป็นท้าวพระยา คันเถิงเดือนสิบสองขึ้นหนึ่งค่ำ ให้เตินหัวบ้านหัวเมือง สิบฮ้อย น้อยใหญ่ในขอบขันฑะสีมา เข้ามาโฮมพระนครหลวงพระบาง เป็นต้นว่า ข้าลาว ชาวดงดอย เพื่อแห่พระบาทสมเด็จพระเจ้ามหาชีวิต ไปลงพ่วง (ด่วง) ส่วงเฮือ และนมัสการพระธาตุศรีธรรมาโสกราช คือ เดือนสิบสองขึ้นสามค่ำ ถือน้ำ ขึ้นสี่ค่ำ สิบสามค่ำ ซ่วงเฮือ ฉลองอุสุภนาคราช วัดหลวงให้เพียวัด มีเฮือ วันละลำ อัครมหาเสนาบดีตั้งแต่เมืองแสนเมืองจันทน์ ลงไปเถิงศรีสะคุต เมือง แกนาใต้นาเหนือ ให้ตั้งเป็นผามทุกตำแหน่ง เป็นเทศกาลบุญส่วงเฮือ ฉลอง พระยานาค 15 ตระกูล และพระเสื้อเมือง ทรงเมือง อาฮักษ์เมือง และมีเครื่อง กิยาบูชา เป็นต้นว่า โภชนะอาหาร ดอกไม้ ธูป เทียน สวายไปหาเทพยดา ทั้ง ทางน้ำและทางบก จิ่งจักอวยพร แก่บ้านเมืองอยู่เย็นเป็สุข และเดือนสิบสอง เพ็ง เสนาอามาตย์ และเจ้าราชคณะสงฆ์ ราษฎร พร้อมกันแห่พระบาทสมเด็จ พระเจ้ามหาชีวิต และเจ้าย่ำขม่อมทั้งห้าพระองค์ไปนมัสการพระธาตุศรีธรรมา โศกราช พร้อมทั้งเครื่องบูชา มีต้นเทียนและดอกไม้ บั้งไฟดอก ไฟหาง กะทุน ว่าย กองปิด กองยาวฮูปหุ่นละคอน ลิงโขนและเครื่องเล่นมหรสพต่างๆ ไปเล่น อยู่ที่เดิ่นหน้าพระลาน พระธาตุถ้วนสามวัน สามคืนแล้ว จิ่งเสด็จคืนมาเทอญ เพื่อให้เป็นที่ชื่นชมยินดีซึ่งกันและกัน ข้าลาวชาวดอยทั้งหลาย ก็จักได้เห็นกัน และกัน และจักได้เว้าลมกัน เป็นมิตรสหายแก่กันและกัน จิ่งจักเป็นเกียรติยศ ฤชา ปรากฏแก่หัวบ้านเมืองน้อยใหญ่ อันอยู่ใกล้เคียงนั้นซะแล<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อสิบสาม</span> เป็นท้าวพระยา ให้แต่งแปงทาวทุกอย่าง เป็นต้นว่า ถวายผ้ากะฐินและบวช พระหดเจ้า ตั้งมะไลไขมหาชาติ ฮักษาศีลห้าศีลแปดเป็นนิจกาล ทุกวันอุโบสถ และมีหัวใจอันเต็มไปด้วยพรหมวิหารทั้ง 4 ประการ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เสนาอามาตย์ ราษฎร ข้าน้อยใหญ่ ในขอบเขต ขัณฑะสีมา อย่ามีใจอันกระด้างกระเดื่อง เคืองไปด้วยพาล เป็นต้นว่า ไปหลิ้น ป่าล่าเนื้อ จุ่งเลี้ยงนักปราชญ์ผู้อาจให้แก้วยังกิจการเอาไว้ และให้มีเสนา อามาตย์ผู้ฉลาดกล้าหาญกับทั้งสมณะชีพราหมณ์ ผู้ดีมีศีลบริสุทธิ์และความฮู้ สั่งสอนทายก อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลายเทอญ และให้ประกอบด้วย ทศพิธ- ราชธรรมสิบประการ บ้านเมืองจิ่งจะวุฒิจำเริญ แล<br /><span style="color:#3333ff;">ข้อสิบสี่</span> เป็นท้าวพระยาให้มีสมบัติ อันประเสริฐ 14 ประการ คือ<br />หูเมือง ได้แก่ราชฑูตผู้ฉลาดอาจนำเข้าออกต่างประเทศ<br />ตาเมือง ได้แก่ทางหนังสือผู้ฉลาดอาจสอนอักขระบาลี<br />แก่นเมือง ได้แก่พระสังฆะเจ้าฉลาดทรงธรรมทรงวินัย<br />ประตูเมือง ได้แก่เครื่องศาสตราวุธทั้งหลายต่างๆสั่งสมไว้<br />ฮากเมือง ได้แก่โหราศาสตร์อาจฮู้เหตุฮ้ายและดี<br />เหง้าเมือง ได้แก่เสนาผู้เฒ่าแก่กล้าหาญมั่นคง<br />ขื่อเมือง ได้แก่กวนบ้านและตาแสงราษฎรผู้ซื่อสัตย์<br />ฝาเมือง ได้แก่ทแกล้วทหารผู้สามารถอาจทำยุทธกรรมกับข้าศึกชนะได้<br />แปเมือง ได้แก่ท้าวพระยาองค์ประกอบด้วยศีลธรรมอันดีล้วน<br />เขตเมือง ได้แก่ เสนาอามาตย์ ผู้ฉลาดฮู้เขตบ้านเมืองดินเมือง ว่าที่นั่นดีหรือบ่ มีคุณ หรือมีโทษ ฯลฯ<br />สติเมือง ได้แก่เศรษฐีและพ่อค้าผู้มั่งมีเป็นดีฯลฯ<br />ใจเมือง ได้แก่หมอยาวิเศษฮู้พยาธิใช้ยาถืกฯลฯ<br />ค่าเมือง ได้แก่ภาคพื้นภูมิประเทศและพลเมืองฯลฯ<br />เมฆเมือง ได้แก่ เทพยดาอาฮักษ์ทั้งหลายเขตบ้านเมือง<br />ดังมีคำบรรยายไว้เป็นกลอนดังนี้<br />หูเมืองนั้น ได้แก่ ทูตาผู้คนดีฉลาด อาจนำความนอกพุ้นมาเข้าสู่เมือง ตาเมืองนั้น ได้แก่ นายหนังสือ เว้าคนดีผู้ฉลาด สามารถสอนสั่งให้บาลีก้อม คู่ซู่แนว สอนหมู่แถวพันธุ์เซื้อวงศ์ วานน้อยใหญ่ อันแก่นเมือง ได้แก่ สังฆะเจ้าผู้ทรงธรรมวินัยสูตรนี้ละเป็นแก่นแท้เมืองบ้านแห่งเฮา ประตูเมือง ได้แก่ ปืนหรือหน้าลาหลาว ง้าวหอก เครื่องอาวุธทุกชั้น ให้หั้นแหม่นประตู ที่พวกเสนา ข้ามนตรีฮักษาอยู่ ฮากเมือง นั้นได้แก่ โหราเจ้าหมอโหรผู้ฉลาด ฮู้เหตุดีและฮ้ายสิมาเข้าสู่เมือง เหง้าเมืองนั้น ได้แก่ เสนาผู้คนหาญเฒ่าแก่ เป็นผู้คงเที่ยงหมั้น บ่ผันลิ้นเปลี่ยนแปร อันขื่อเมือง ได้แก่ ตากวนบ้าน ตาแสงผู้สัตย์ซื่อ ราษฎรก็หากสุขอยู่ด้วยดอมเจ้าคู่ซู่กัน ฝาเมืองนั้น ได้แก่ พลาหาญกล้า โยธาทแกล้วเก่ง กับทหารผู้กล้าอาจฟันข้าหมู่เขา กับข้าเสิกสิเข้ามายาดชิงเมือง แปเมืองนั้น ได้แก่ คุณพระยาเจ้า ผู้ทรงธรรมทศราช เป็นผู้อาจเก่งกล้าผญาล้ำลื่นคน ผู้ตั้งในธรรม พร้อมและศีลธรรมสัตย์ซื่อ เป็นผู้ดียิ่งล้ำ พลข้าอยู่เกษม เขตเมืองนั้น ได้แก่ เสนา ข้ามนตรี ผู้อามาตย์ ผู้ฉลาดอาจรู้เขตบ้านและเขตเมือง บ่อนนั้นดีหรือฮ้ายมีคุณหรือบ่ นี้ละเป็นเขตบ้าน เมืองแท้อย่างดี สติเมือง ได้แก่ เศรษฐีเจ้า ผู้เป็นดีมีมั่ง และ ผู้ตั้งตลาดซื้อค้า หาซื้อจ่ายของ ผู้ที่ ทำถืกต้องครองราชธรรมเนียม บ่แม่นแนวโจโรหลอกหลอนลวงต้ม นี้ละเจ้าสติเมืองเกินมันแม่น อันใจเมือง ได้แก่ แพทย์ผู้ฮู้ยาแก้ใส่คน อันไทเฮาเรียกว่า หมอกล้า ผู้หายามาปัวปิ่น ฮู้จักพยาธิ ฮ้ายยาแก้ถืกกัน นี้ละเป็นใจแท้เมืองคนเจริญยิ่ง อีกค่าเมือง ได้แก่ ภูมิภาคพื้นดินฟ้าค่าแพง ภูมิประเทศ บ่อนแล้งหรือชุ่มดินงามอีกทั้งชาวพลเมืองก็ดั่งเดียวกันแท้ ผู้สิทำคุณให้เมืองตน เจริญเด่นและดินฟ้าหมู่นั้นสำคัญแท้กว่าเขา นี้ละสินำผลมาหลายอย่าง ของต่างๆ หมากไม้ ก็มี ด้วยแผ่นดิน เมฆเมืองนั้น ได้ เทพดาเจ้า มหาศักดิ์ตนอาจ อาฮักขาอยู่เฝ้าแถวนั้นเขตเมือง นี้กะ ดีเหลือล้นฮักษาสุขยิ่ง นี้กะเป็นมิ่งบ้านเมืองแท้อย่างดี มันหากเหมิดท่อนี้ครองราชราชาฯ<br />บทกลอนนี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเฟื่องฟูรุ่งเรือง ทางวรรณคดีของชาวอีสานว่า มีอัจฉริยะ หรือเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนเพียงใด แม้แต่จารีตประเพณี อันเป็นกรอบสำหรับประพฤติปฏิบัติของ แต่ละบุคคล ตลอดจนกระทั่งกติกาในการปกครองบ้านเมือง สำหรับชนชั้นปกครอง ประดุจ รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของประเทศอังกฤษ ก็ยังจารึกไว้เป็นบทกลอน เพื่อที่จะให้เป็นภาษา ที่สละสลวย แพร่หลายจนซึมซาบเข้าถึงจิตใจของสมาชิกในสังคมทุกคนได้ง่าย<br /><span style="color:#ff0000;">คองสิบสี่ของพระสงฆ์<br /></span><span style="color:#ff6600;">ข้อหนึ่ง</span>ให้พระสังฆะเจ้าสูตรเฮียน ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและฮักษาศีล 227 อย่าให้ ขาด</span></strong></span> <p><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#33cc00;"><span style="color:#ff6600;">ข้อสอง</span> ให้บัวละบัตรกูฏิวิหาร ปัดตากวาดถู อย่าให้วัดเศร้าหมอง<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสาม</span>ให้ปฏิบัติจัดทำไปตามศรัทธา ชาวบ้านนิมนต์มีการทำบุญให้ทาน บวชหด เป็นต้น<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสี่</span> เถิงเดือนแปด ให้เข้าวัสสา ตลอดสามเดือน จนถึงเดือนสิบเอ็ดแฮมค่ำหนึ่ง แต่เดือน สิบเอ็ดแฮมค่ำหนึ่งไปหาเดือนสิบสองเพ็ง ให้ฮับผ้ากฐินฮักษาคองผ้าเถิงสี่เดือน<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อห้า</span> ออกวัสสาแล้ว ฤดูเหมันตะ (ฤดูหนาว) ภิกขุสังฆะเจ้าเข้าปริวาสกรรม ฯลฯ<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อหก</span> ให้เที่ยวไปบิณฑบาตร ตามบ้านน้อยบ้านใหญ่ อย่าให้ขาด<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อเจ็ด</span> ให้สูตร ภาวนา ทุกคืน วัน อย่าขาด ฯลฯ<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อแปด</span> เถิงวันศีลดับ ศีลเพ็ง ให้ประชุมกันทำอุโบสถ สังฆกรรม อย่าขาด<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อเก้า</span> เถิงเทศกาลปีใหม่ ทายกไหว้ขี่วอ แห่น้ำไปสรงน้ำพระพุทธรูป พระธาตุเจดีย์ ฯลฯ<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบ</span> สังกาช ปีใหม่ พระเจ้ามหาชีวิต ไหว้พระ ให้สรงน้ำในวันพระราชวัง และบาสี พระสังฆะเจ้า<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบเอ็ด</span> ศรัทธาชาวบ้านนิมนต์สิ่งใด อันบ่ผิดคองวินัย ก็ให้ปฏิบัติตาม<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบสอง</span> เป็นสมณะให้พร้อมกันสร้างวัดวาอาราม พระธาตุเจดีย์<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบสาม</span> ให้ฮับทานของทายก คือ สังฆะภัตร สลากภัตร เป็นต้น<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบสี่</span> พระเจ้ามหาชีวิต เสนาข้าราชการ มีศรัทธานิมนต์ มาประชุมกันในสิมแห่งใด แห่งหนึ่งในวันเดือนสิบเอ็ดเพ็ง เป็นกาละอันใหญ่อย่าได้ขัดขืน<br />หมายเหตุ คองสิบสี่ประการสำหรับพระสงฆ์นี้ เป็นหลักใหญ่ของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และได้สะท้อนให้เห็นท่วงทำนองการดำรงชีวิตของพระภิกษุสงฆ์ในบวรพระพุทธ ศาสนา เป็นชีวิตที่เสียสละเพื่อประโยชน์คนส่วนมาก และเป็นคุณให้แก่ทางฝ่าย บ้านเมือง อย่างไม่มีข้อขัดแย้งที่จะเป็นศัตรูกันได้เลย ถ้าสองฝ่ายยึดมั่นในหลัก พระพุทธศาสนาอย่างเข้าร่วมกันจริงๆ<br /><br /><span style="color:#3333ff;">คองสิบสี่ของบุคลทั่วไป</span><br /><span style="color:#ff6600;">ข้อหนึ่ง</span> เมื่อเข้ากล้าหมากเป็นฮวง เป็นหมากแล้ว อย่าฟ้าวกินก่อน ให้เอาทำบุญให้ทาน แก่ผู้มีศีลกินก่อน แล้วจงกินภายลุน<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสอง</span> อย่าโลภตาส่าย อย่าจ่ายเงินแดง แปงเงินคว้าง และอย่ากล่าวคำหยาบซ้ากล้าแข็ง ต่อกัน<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสาม</span> ให้พร้อมกันเฮ็ดฮั้วต้าย และกำแพงอ้อมวัดวา อาฮาม และบ้านเฮือน<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสี่</span> เมื่อเจ้าขึ้นเฮือนนั้น ให้สว่ายกล้างตีน เสียก่อนจิ่งขึ้น<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อห้า</span> เมื่อเถิงวันศีล 7-8-14-15 ค่ำ ให้สมมา (ขอขมา) ก้อนเส้า แม่คีไฟหัวคันได และ ประตูที่ตนอาศัยซู่ค่ำคืน<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อหก</span> เมื่อจักนอนให้เอาน้ำส่วนล้างตีนก่อน จิ่งนอน<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อเจ็ด</span> เถิงวันศีล ให้เอาดอกไม้ธูปเทียน สมมาผัวแห่งตน และเถิงวันอุโบสถให้แต่งดอกไม้ ธูปเทียนไปเคนพระสังฆเจ้า<br />ข้อแปด เถิงวันศีลดับ ศีลเพ็งมานั้น ให้นิมนต์พระสังฆเจ้ามาสูตรมุงคุลเฮือน และทำบุญ ใส่บาตรถวายทาน<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อเก้า</span> เมื่อพระภิกขุมาบิณฑบาตรนั้น อย่าให้เพิ่นคอยถ้า และเวลาใส่บาตรก็อย่าซุนบาตร และยามใส่บาตรนั้นอย่าใส่เกิบ (รองเท้า) กั้งฮ่มผ้าปกหัว อุ้มหลาน หรือถือเครื่อง ศาสตราอาวุธ<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบ</span> เมื่อพระภิกขุเข้าปริวาสกรรม ซำฮะเบื้องต้นแล้ว ให้แต่งขันดอกไม้ธูปเทียนและ เครื่องอรรถบริขารไปถวายท่าน<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบเอ็ด</span> เมื่อเห็นพระภิกขุสังฆะเจ้ากายมา ให้นั่งลงยอมือไหว้ก่อน และจั่งค่อยเจรจา<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบสอง</span> อย่าเหยียบย่ำเงาเจ้าพระภิกขุตนมีศีลบริสุทธิ์<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบสาม</span> อย่าเอาอาหารเงื่อนกินตนแล้วไปทานให้แก่พระสังฆะเจ้า และเอาไว้ให้ผัวกินจะ กายเป็นบาปได้ อันใดในชาติหน้าก็มีแต่แนวบ่ดี<br /><span style="color:#ff6600;">ข้อสิบสี่</span> อย่าเสพเมถุน กามคุณ ในวันศีล วันเข้าวัสสา ออกพรรษา วันมหาสงกรานต์ ถ้าดื้อ เฮ็ดได้ลูกได้หลานมา จะบอกยากสอนยาก<br />ทั้ง 'ฮีตสิบสอง และ คองสิบสี่'สามารถสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของคนอีสานในโบราณได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ตอนนี้จะมีวัฒนธรรมจากตะวันตก เข้ามาครอบงำ แต่ในคนในภาคอีสานส่วนใหญ่ ยังยึดถือปฏิบัติกันอยู่ แม้จะไม่เคร่งครัดเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังพอมีให้เห็น โดยเฉพาะ 'ฮีตสิบสอง'นั้นยังมีให้เห็นอยู่ทั่วไป<br /><br />"สุขขีมั่นเสมอมันเครือเก่า บ่ได๋เห็นหน้าเจ้า เห็นเสาเฮือนกะยังดี"</span><br /><br /><br /><span style="color:#ff0000;">อีสานบ้านของเฮา<br /></span><br /><span style="color:#33cc00;">วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวอีสานนั้นเราอาจรับรู้มาจากหลายๆแหล่งเพลงก็เป็นอีกทางหนึ่งที่สื่อสารให้ได้รุบรู้กัน ชัดเจนบ้าง คลุมเครือบ้างอย่างเพลงๆนี้ที่ อ.เทพพร เพชรอุบล ท่านได้ขัยร้องไว้นานแล้ว ซึ่งเนื้อหาในเพลงสื่อได้ชัดเจนถึงธรรมชาติและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอีสานเนื้อร้องบรรยายได้ดียิ่งนัก<br /></span><br /><span style="color:#ff0000;">เพลง อีสานบ้านเฮา<br /></span><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9mZSOYjunJGeQk8MhED8k77UzC4gy4sE_fG31itJNqvjk9StFO_pQwQdcj4VqG_dW_OkYx9pD6-QrUVzWpY5A4egP9FKSs417TZ50leoopEgeV2CN7YRS9E733P2WCeilRrK3_jYvt4zE/s1600-h/pugkayeang.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 240px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424919095151625778" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh9mZSOYjunJGeQk8MhED8k77UzC4gy4sE_fG31itJNqvjk9StFO_pQwQdcj4VqG_dW_OkYx9pD6-QrUVzWpY5A4egP9FKSs417TZ50leoopEgeV2CN7YRS9E733P2WCeilRrK3_jYvt4zE/s320/pugkayeang.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><br /><br /><span style="color:#33cc00;">หอมดอกผักคะแยงยามฟ้าแดงค่ำลงมา<br />แอ้บแอ้บเขียดจะนาร้องยามฟ้าฮ้องฮวนฮวน<br />เขียดโม่เขียดขาคำเหมือนหมอลำพากันม่วน<br />เมฆดำลอยปั่นป่วนฝนตกมาสู่อีสาน<br />หมู่หญ้าตีนกั๊บแก้ถูกฝนแลเขียวตระการ<br />ควายทุยเสร็จจากงานเล็มหญ้าอ่อนตามคันนา<br />รุ่งแจ้งพอพุ่มพรูตื่นเช้าตรูรีบออกมา<br />เร่งรุดไถฮุดนารีบนำฟ้าฟ่าวนำฝน<br />อีสานบ้านของเฮาอาชีพเก่าแต่นานโดน<br />เอาหน้าสู้ฟ้าฝนเฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา เฮ็ดนาไร่บ่ได้เซา</span><br /></strong></span><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 214px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424941779606657906" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-3zMsT4zIt1yGX58rhQM2NPDb35W72lhLSustxldW3CV0nNUuvgo2Qchif25Wv_x31qj9R6g-o7yL4-nqHBlOGKvOUrd_OFnMULegM77EKmXMssu-kFsrTN6R3K592sPIxN-Hx5qdZYmU/s320/koba.jpg" /><br /><span style="color:#33cc00;">ม่วนเอ้ย...โอ่โอ้โอ่...ฮะโอโอ้โอ...ฮะโอโอ้นอ...<br />ฮะโอโอ้โอ่..โอโอ่โอ้นอ...ฮะโอโอ้โอ่..โอโอ่โอ้โอ...<br />โอโอ่โอโอ่โอ้ละนอ...<br />ม่วยเอ้ยม่วนเสียงกบร้องอ๊บอ๊บกล่อมลำเนา<br /></span><br /></strong></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvVXoS1K1ScKxUOa4XuMCG7euGxb0C4MV1hellSKq9S1TrVrC2NpWi32qE2H3DKliuRQ1f6BFobymQsT17rjkCbGs_hT1Hqt3mg1z-Hh2wu_kwNnMBN1XgaXJll8Ii7hPU8vhhdqPUZpOX/s1600-h/pugsameg.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 99px; DISPLAY: block; HEIGHT: 74px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424942052243593730" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjvVXoS1K1ScKxUOa4XuMCG7euGxb0C4MV1hellSKq9S1TrVrC2NpWi32qE2H3DKliuRQ1f6BFobymQsT17rjkCbGs_hT1Hqt3mg1z-Hh2wu_kwNnMBN1XgaXJll8Ii7hPU8vhhdqPUZpOX/s320/pugsameg.jpg" /></strong></span></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><br /><br /><span style="color:#33cc00;">ผักเม็กผักกะเดาผักกะโดนและผักอีฮีน<br />ธรรมชาติแห่งบ้านนาฝนตกมามีของกิน<br />ฝนแล้งแห้งแผ่นดินห้วยบึงหนองแห้งเหือดหาย<br />มาแนเด้อมาเฮ็ดนามาแนเด้อหล้าอย่าเดินผ่าย<br />นับวันจะกลับกลายหนุ่มสาวไหลเข้าเมืองกรุง<br />เสียงแคนกล่องเสีนงซุง ตรุงลุงตรุงล่ะแล่นแตรลุงตรุง<br />เสียนแคนกล่อมเสียงซอ อ้อนแล้วอ๋ออ้อนอี๋แล้วออ<br />มาแนเด้อมาช่วยกันก่ออีสานน้อบ้านของเฮา</span><br /><br /><br />แหล่งที่มาของข้อมูล<br />http://bb.kunthaluk.com/viewtopic.php?f=3&t=764<br />http://www.mv.ac.th/~thaiwisdom/activities6_3.htm<br />http://www.oknation.net/blog/namsean/2007/10/27/entry-1 </strong></span></p><br /><br /></span><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com7tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-13849400408435549042010-01-07T01:10:00.000-08:002010-01-08T23:22:08.868-08:00วัฒนธรรมด้านภาษาของภาคอีสาน<div align="left"><span style="font-family:arial;"><strong><span style="font-size:180%;"><span style="color:#ff0000;"><a href="http://dict.longdo.com/portal/node/13">ภาษาประจำภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน </a><br /></span></span></strong><br /><span style="color:#ff6600;">ภาคอีสาน เป็นเขตหรือภาคหนึ่ง ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลาง<br />การเกษตรนับเป็นอาชีพหลักของภาค แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทางด้านสังคมเศรษฐกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคอื่นๆ<br /></span><strong><span style="color:#000099;">ภาษาหลักของภาคนี้</span></strong> <span style="color:#ff0000;">คือ ภาษาอีสาน แต่ภาษาไทยกลางก็นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีภาษาเขมร ที่ใช้กันมากในบริเวณอีสานใต้ นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นอื่นๆ อีกมาก เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาโส้ ภาษาไทยโคราช เป็นต้น<br />ภาคอีสานมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น เช่น อาหาร ภาษา ดนตรีหมอลำ และศิลปะการฟ้อนรำที่เรียกว่า เซิ้ง เป็นต้น<br /></span><span style="color:#009900;">ภาคอีสาน มีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 170,226 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ หนี่งในสาม ของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทย มีเทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง และภูกระดึง เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำ เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำมูล</span><br /><br /><strong><span style="color:#ff0000;">ภาษาไทยถิ่นอีสาน</span></strong> <span style="color:#3333ff;">เป็นภาษาไทยถิ่นที่ใช้พูดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใกล้เคียงกับภาษาลาว ในอดีตเคยเขียนด้วยอักษรธรรมล้านช้างหรืออักษรไทยน้อย ปัจจุบันเขียนด้วยอักษรไทย มีพยัญชนะ 20 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 2-3 เสียง บางท้องถิ่นไม่มีเสียงสระเอือ<br /><br /></span><strong><span style="color:#ff0000;">ตัวอย่างภาษาอีสาน</span><br /></strong><br /><span style="color:#ff6600;">ภาษาอีสาน - แปลเป็นภาษากลาง<br /><br />กะซาง - ช่างเถอะ<br /><br />กินเข่าสวย - รับประทานอาหารกลางวัน<br /><br />กินดอง - เลี้ยงฉลองสมรส<br /><br />กะจังว่า - ก็นั่นน่ะสิ<br /><br />เกี้ยงตั๊บ - หมดเกลี้ยง<br /><br />กัดแข้วบืน - กัดฟันสู้<br /><br />กะด้อ กะเดี้ย - อะไรกันนักหนา<br /><br />เกิบ - รองเท้าแตะ</span><br /><br /><strong><span style="color:#000099;">ภาษาไทยถิ่นอีสาน</span></strong> <span style="color:#009900;">เป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้พูดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เป็นภาษาลาวสำเนียงหนึ่ง ในสำเนียงภาษาถิ่นของภาษาลาวซึ่งแบ่งเป็น 6 สำเนียงใหญ่ คือ:<br /><span style="color:#cc33cc;">1.ภาษาลาวเวียงจันทน์</span> ใช้ในท้องที่ เวียงจันทน์ บอลิคำไซ และในประเทศไทยท้องที่ จ.ชัยภูมิ หนองบัวลำภู หนองคาย (อ.เมือง ศรีเชียงใหม่ ท่าบ่อ โพนพิสัย) ขอนแก่น (อ.ภูเวียง ชุมแพ สีชมพู ภูผาม่าน หนองนาคำ เวียงเก่า หนองเรือบางหมู่บ้าน) ยโสธร (อ.เมือง ทรายมูล กุดชุม บางหมู่บ้าน) อุดรธานี (อ.บ้านผือ เพ็ญ บางหมู่บ้าน)<br /><span style="color:#cc33cc;">2.ภาษาลาวเหนือ</span> ใช้กันในท้องที่ เมืองหลวงพระบาง ไซยะบูลี อุดมไซ จ.เลย อุตรดิตถ์ (อ.บ้านโคก น้ำปาด ฟากท่า) เพชรบูรณ์ (อ.หล่มสัก หล่มเก่า น้ำหนาว) ขอนแก่น (อ.ภูผาม่าน และบางหมู่บ้านของ อ.สีชมพู ชุมแพ) ชัยภูมิ (อ.คอนสาร) พิษณุโลก (อ.ชาติตระการ และนครไทยบางหมู่บ้าน) หนองคาย (อ.สังคม) อุดรธานี (อ.น้ำโสม นายูง บางหมู่บ้าน)<br /><span style="color:#cc33cc;">3.ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ</span> ใช้กันในท้องที่เมืองเซียงขวาง หัวพัน ในประเทศไทยท้องที่บ้านเชียง อ.หนองหาน อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี และบางหมู่บ้าน ใน จ.สกลนคร หนองคาย และยังมีชุมชนลาวพวนใน ภาคเหนือบางแห่งในจังหวัด สุโขทัย อุตรดิตถ์ แพร่ ไม่กี่หมู่บ้านเท่านั้น<br /><span style="color:#cc33cc;">4.ภาษาลาวกลาง</span> แยกออกเป็นสำเนียงถิ่น 2 สำเนียงใหญ่ คือ ภาษาลาวกลางถิ่นคำม่วน และถิ่นสะหวันนะเขด ถิ่นคำม่วน จังหวัดที่พูดในประเทศไทย เช่น จ.นครพนม สกลนคร หนองคาย (อ.เซกา บึงโขงหลง บางหมู่บ้าน) ถิ่นสะหวันนะเขด จังหวัดที่พูดมีจังหวัดเดียว คือ จ.มุกดาหาร<br /><span style="color:#cc33cc;">5.ภาษาลาวใต้</span> ใช้กันในท้องที่แขวงจำปาสัก สาละวัน เซกอง อัตตะปือ จังหวัดที่พูดในประเทศไทย จ.อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร<br /><span style="color:#cc33cc;">6.ภาษาลาวตะวันตก</span> ไม่มีใช้ในประเทศลาว เป็นภาษาที่ใช้ในท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ท้องที่ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และบริเวณใกล้เคียงมลฑลร้อยเอ็ด ของประเทศสยาม<br />ในอดีตเคยเขียนด้วยอักษรธรรมล้านช้างสำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะหรือพระพุทธศาสนา หรือเขียนด้วยอักษรไทยน้อยสำหรับเรื่องราวทางโลก ปัจจุบันเขียนด้วยอักษรไทย มีพยัญชนะ 20 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 2-3 เสียง บางท้องถิ่นไม่มีเสียงสระเอือ<br /></span><br /><strong><span style="color:#cc0000;">ประเด็นการสะกดคำภาษาอีสาน</span></strong><span style="color:#cc0000;"><br /></span><br /><span style="color:#3333ff;">การสะกดภาษาอีสานโดยมากเท่าที่พบในโอกาสต่าง ๆ จะสะกดคำที่เป็นคำไทยตามแบบไทย แต่สะกดคำที่เป็นคำลาวตามเสียงอ่าน เนื่องจากไม่เคยมีแหล่งอ้างอิงตัวสะกดเป็นแบบแผนให้เห็น ซึ่งก็จะทำให้เกิดความลักลั่น ที่แต่ละคำใช้อักขรวิธีต่างกัน รวมทั้งผันแปรไปมาตามสำเนียงหรือวิธีถ่ายเสียงของคนเขียน </span></span><span style="font-family:arial;"><span style="color:#3333ff;">ยกตัวอย่างเช่น คำว่า "หม้ำ" ที่หมายถึงอาหารที่คล้ายไส้กรอก แต่ทำจากตับวัวหรือควาย ใส่ข้าวและเครื่องเทศ สีจะเป็นสีดำ คำนี้ ภาษาอีสานจะออกเสียงเป็นเสียงเอกว่า "หม่ำ" เหมือนกับที่ออกเสียงคำว่า "หม้อ" ว่า "หม่อ" แต่จะเห็นการสะกดโดยทั่วไปเป็น "หม่ำ" ตามเสียงอ่าน ทีนี้ เมื่อเขียนเป็นประโยคว่า "เอาหม่ำไปใส่หม้อ" ถ้าจะอ่านทั้งประโยคเป็นภาษาอีสานตามตัวสะกดก็จะอ่านได้เป็น "เอ่ามำไป่ไซหม่อ" ซึ่งทำให้เสียงของ "หม้ำ" กลายเป็น "มำ" (สามัญสูง) แทนที่จะเป็น "หม่ำ" ตามเสียงที่ถูกต้อง และถ้าจะอ่านให้ถูกต้อง ผู้อ่านจะต้องแยกแยะเอาเองจากบริบท ว่าคำไหนเป็นคำไทย คำไหนเป็นคำลาว ซึ่งจะเพิ่มความซับซ้อนในการอ่านอย่างมาก และคำโดยส่วนใหญ่จะคลุมเครือ เพราะภาษาไทยและลาวมีคำที่ใช้เหมือนกันมากมาย เช่นคำว่า "หม้อ" ในประโยคตัวอย่าง ก็มีความเป็นลาวพอ ๆ กับที่เป็นคำไทย การไปแยกแยะชัดเจนแล้วอ่านแบบคำไทยจึงไม่สมเหตุสมผล แต่ถ้าเขียนเป็น "เอาหม้ำไปใส่หม้อ" ผู้อ่านสามารถอ่านออกเสียงด้วยหลักการเดียวกันทุกคำได้อย่างถูกต้องโดยไม่ต้องแยกแยะ และนี่น่าจะเป็นการสะกดรูปคำที่ถูกต้อง เราอ่านคำว่า "หม้อ" ด้วยหลักการไหน ก็น่าจะอ่านคำว่า "หม้ำ" ด้วยหลักการเดียวกัน<br />เมื่อตรวจสอบกับพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ก็ปรากฏว่าท่านเก็บคำว่า "หม้ำ" ในรูปไม้โท<br />ตัวอย่างการผันวรรณยุกต์ดังกล่าว คงพอทำให้เห็นภาพ ว่าผมต้องการเสนอการสะกดคำภาษาอีสานแบบไหน แต่ถ้าจะให้ครอบคลุมประเด็นอื่น ๆ นอกเหนือจากการผันวรรณยุกต์แล้ว ผมขอเสนอให้ใช้ตัวสะกดภาษาลาวปัจจุบันเป็นแนวทาง ด้วยเหตุผลของรากแห่งวัฒนธรรมอีสานตามประวัติศาสตร์<br />ในยุคประวัติศาสตร์นั้น พื้นที่ภาคอีสานของไทยเคยถูกครอบครองโดยชนชาติขอมในยุคที่ขอมเรืองอำนาจ แล้วก็เปลี่ยนมือมาเป็นอาณาจักรล้านช้างของลาวในเวลาต่อมา ก่อนที่จะมาขึ้นตรงต่อสยามเมื่อกรุงศรีอยุธยาแผ่อำนาจขึ้นมา แต่ตลอดสมัยอยุธยานั้น แม้ในทางการปกครอง หัวเมืองต่าง ๆ ในอีสานจะขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยา แต่ก็อยู่ในฐานะคล้ายเมืองประเทศราช ในทำนองเดียวกับเชียงใหม่และนครศรีธรรมราช โดยประชากรส่วนใหญ่มาจากลาวล้านช้าง และยังมีการอพยพเข้ามาเพิ่มเติมอีกหลายระลอกในสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทั้งจากภัยสงครามระหว่างลาวฝ่ายต่าง ๆ ด้วยกันเอง และจากการกวาดต้อนของราชสำนักไทย ดังนั้น โดยเนื้อแท้แล้ว ชาวอีสาน โดยเฉพาะอีสานตอนบน ก็สืบเชื้อสายและวัฒนธรรมมาจากลาวล้านช้างนั่นเอง วัฒนธรรมต่าง ๆ จึงกลมกลืนกันอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นภาษา ดนตรี การละเล่น ขนบธรรมเนียมประเพณี และคติความเชื่อต่าง ๆ และถ้าจะเข้าใจเรื่องภาษาพูดและภาษาเขียนของอีสาน ก็จำเป็นต้องศึกษาเทียบเคียงกับภาษาลาวเป็นหลัก<br />ถ้าพูดถึงตัวเขียนของภาษาอีสานดั้งเดิม จะใช้อักษรสองชนิด คือ อักษรไทน้อย ซึ่งมีรากเดียวกับอักษรลาวในปัจจุบัน และ อักษรธรรม ซึ่งมีรากร่วมกับอักษรธรรมล้านนา โดยอักษรธรรมมักจะใช้ในคัมภีร์ทางศาสนา แต่ปัจจุบันหาผู้ที่รู้อักษรทั้งสองแบบนี้ได้ยากแล้ว จะหาหลักฐานได้ก็แต่จากจารึกโบราณเท่านั้น ดังนั้น แหล่งหนึ่งที่จะใช้สืบเสาะอ้างอิงภาษาเขียนของอีสานได้ ก็จากภาษาลาวปัจจุบัน<br />อย่างไรก็ดี ภาษาลาวปัจจุบันก็ได้ผ่านการปฏิวัติครั้งใหญ่มาแล้วครั้งหนึ่งในสมัยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ทำให้มีการลดจำนวนอักษรลง พร้อมตัดความซับซ้อนต่าง ๆ ลงจนเหลือเพียงการเขียนตามเสียงอ่าน การอ้างอิงจึงทำได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังถือเป็นแหล่งที่ช่วยได้มากที่สุดในขณะนี้ หากจะให้ได้ภาษาเขียนที่แท้จริงของอีสาน ความหวังหนึ่งอาจจะอยู่ที่การศึกษาและถ่ายทอดอักษรไทน้อยและอักษรธรรมอีสานโดยตรง โดยมี โรงเรียนสว่างวีระวงศ์ เป็นตัวอย่าง<br />อย่างไรก็ดี การเขียนที่สะดวกที่สุดสำหรับชาวอีสานคงเป็นการใช้อักษรไทย โดยผมเองมีความเห็นว่า น่าจะต้องอ้างอิงตัวเขียนภาษาลาวเป็นหลัก มากกว่าการถอดเสียงอ่านผ่านสำเนียงกรุงเทพฯ (ขอใช้คำว่า "สำเนียงกรุงเทพฯ" เนื่องจากเมื่อพูดถึงภาษาถิ่นแล้ว จำเป็นต้องเจาะจงถิ่น เพราะแม้ในภาคกลางเอง ก็มีสำเนียงท้องถิ่นที่แตกต่างจากกรุงเทพฯ มากมาย เช่น สำเนียงสุพรรณบุรี สำเนียงเพชรบุรี สำเนียงอยุธยา) อย่างที่พบเห็นกันทั่วไป โดยประเด็นสำคัญที่เห็นได้ชัดคือเรื่องการผันวรรณยุกต์ดังที่กล่าวไปแล้ว นอกจากเรื่องความลักลั่นของการอ่านแล้ว ยังมีปัญหาความลักลั่นของการเขียนด้วย เพราะการใส่เสียงวรรณยุกต์ลงในตัวเขียนจะขึ้นอยู่กับสำเนียงท้องถิ่นของผู้เขียน เนื่องจากภาษาอีสานมีหลายสำเนียง สำเนียงขอนแก่นก็ต่างจากสำเนียงอุบลฯ เลย หรือภูเวียง เป็นต้น</span><br /><br /><object width="380" height="350"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/IhH-fDVrOcw&hl=en_US&fs=1&color1=0x006699&color2=0x54abd6&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/IhH-fDVrOcw&hl=en_US&fs=1&color1=0x006699&color2=0x54abd6&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="380" height="350"></embed></object><br /><br /><br /></span></div><p><span style="font-family:arial;"></span></p><p><span style="font-family:arial;"></p><div align="left"><br /><span style="color:#000099;"><strong>แหล่งที่มาของข้อมูล<br /></strong></span><br /><a href="http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww521/khwanchai/khwanchai-web2/content/Page3.html">http://lms.thaicyberu.go.th/officialtcu/main/advcourse/presentstu/course/ww521/khwanchai/khwanchai-web2/content/Page3.html</a></span><span style="font-family:arial;"><br /><a href="http://pirun.kps.ku.ac.th/~b5027061/web50270610.html">http://pirun.kps.ku.ac.th/~b5027061/web50270610.html</a> </span></div><br /><div align="left"><a href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99">http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99</a><br /><a href="http://dict.longdo.com/portal/node/13">http://dict.longdo.com/portal/node/13</a></div><br /><p><br /></p><br /><br />http://www.youtube.com/watch?v=IhH-fDVrOcwnanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-34956783674825054562010-01-06T20:36:00.000-08:002010-01-07T00:28:42.273-08:00การแต่งกายของภาคอีสาน<span style="font-family:arial;font-size:180%;color:#00cccc;"><strong><a href="http://www.blogger.com/วัฒนธรรมด้านภาษา">การแต่งกายประจำภาคอีสาน </a><br /></strong></span><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJyDo8zTrEdQw42nfqF8hv8uPXQ3FRVxtnNvowOWf7qgDTq20Ib0cJRzkWjm2P_zOsRiueV-WZGdWCGCrGq7GioE9o3EF37joYFTwfJWU7VJAza4Gqn-WbIzN8z5RUq-5-MRPoyIjwYNdO/s1600-h/Esan_clip_image001.gif"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 320px; FLOAT: left; HEIGHT: 258px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5423852752910248882" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgJyDo8zTrEdQw42nfqF8hv8uPXQ3FRVxtnNvowOWf7qgDTq20Ib0cJRzkWjm2P_zOsRiueV-WZGdWCGCrGq7GioE9o3EF37joYFTwfJWU7VJAza4Gqn-WbIzN8z5RUq-5-MRPoyIjwYNdO/s320/Esan_clip_image001.gif" /></a><br /><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><br /><br /><br /><span style="font-family:lucida grande;font-size:130%;color:#ff0000;">ภาค อีสาน</span><br /><br /><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ff0000;">ผู้ชาย</span> </span><span style="color:#33cc00;"><span style="font-size:130%;">ส่วนใหญ่นิยมสวมเสื้อแขนสั้นสีเข้มๆ ที่เราเรียกว่า "ม่อห่อม" สวมกางเกงสีเดียวกับเสื้อจรดเข่า นิยมใช้ผ้าคาดเอวด้วยผ้าขาวม้า</span><br /><br /></span><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"><span style="color:#ff0000;">ผู้หญิง</span> การแต่งกายส่วนใหญ่นิยมสวมใส่ผ้าซิ่นแบบทอทั้งตัว สวมเสื้อคอเปิดเล่นสีสัน ห่มผ้าสไบเฉียง สวมเครื่องประดับตามข้อมือ ข้อเท้าและคอ<br /></span><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#cc0000;">ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน)</span><br /><br /><span style="color:#ff0000;">ภาษาภาคนี้สำเนียงคล้ายภาษาลาว ซึ่งเรามักจะเรียกว่าเป็นภาษา “อีสาน” ภาษาอีสานเช่น เว้า (พูด) แซบ (อร่อย) เคียด (โกรธ) นำ (ด้วย)<br /></span></span><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;">การแต่งกายส่วนใหญ่ใช้ผ้าทอมือ ซึ่งทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย และผ้าไหม<br />ผ้าพื้นเมืองอีสาน ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดู<br />การทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆ ใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิง ในวัยต่างๆ จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็ก ทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้นจำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ<br />1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสีตามต้องการ<br />2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผ้าที่ทอจึงมักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสีสัน<br />ประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน<br />เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม<br /></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><span style="color:#000099;"><strong>กลุ่มอีสานใต้</strong><br /></span>คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว </span><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#000099;"><strong><strong>เครื่องแต่งกายสำหรับภาคอีสาน</strong> </strong><br /></span><br /><span style="color:#006600;">ผ้าพื้นเมืองอีสาน</span><br /><br /><span style="color:#ffcc33;"></span><span style="color:#ff6600;">ชาวอีสานถือว่าการทอผ้าเป็นกิจกรรมยามว่างหลังจากฤดูการทำนาหรือว่างจากงานประจำอื่นๆ ใต้ถุนบ้านแต่ละบ้านจะกางหูกทอผ้ากันแทบทุกครัวเรือน โดยผู้หญิงในวัยต่างๆ จะสืบทอดกันมาผ่านการจดจำและปฏิบัติจากวัยเด็ก ทั้งลวดลายสีสัน การย้อมและการทอ ผ้าที่ทอด้วยมือจะนำไปใช้ตัดเย็บทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม หมอน ที่นอน ผ้าห่ม และการทอผ้ายังเป็นการเตรียมผ้าสำหรับการออกเรือนสำหรับหญิงวัยสาว ทั้งการเตรียมสำหรับตนเองและเจ้าบ่าว ทั้งยังเป็นการวัดถึงความเป็นกุลสตรี เป็นแม่เหย้าแม่เรือนของหญิงชาวอีสานอีกด้วย ผ้าที่ทอขึ้นจำแนกออกเป็น 2 ชนิด คือ<br /></span><br /><span style="color:#ff6600;">1. ผ้าทอสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน จะเป็นผ้าพื้นไม่มีลวดลาย เพราะต้องการความทนทานจึงทอด้วยฝ้ายย้อมสีตามต้องการ<br /><br />2. ผ้าทอสำหรับโอกาสพิเศษ เช่น ใช้ในงานบุญประเพณีต่างๆ งานแต่งงาน งานฟ้อนรำ ผ้าที่ทอจึงมักมีลวดลายที่สวยงามวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายสีสัน<br /><br /></span><span style="color:#ff6600;">ประเพณีที่คู่กันมากับการทอผ้าคือการลงข่วง โดยบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้านจะพากันมารวมกลุ่มก่อกองไฟ บ้างก็สาวไหม บ้างก็ปั่นฝ้าย กรอฝ้าย ฝ่ายชายก็ถือโอกาสมาเกี้ยวพาราสีและนั่งคุยเป็นเพื่อน บางครั้งก็มีการนำดนตรีพื้นบ้านอย่างพิณ แคน โหวต มาบรรเลงจ่ายผญาโต้ตอบกัน เนื่องจากอีสานมีชนอยู่หลายกลุ่มวัฒนธรรม การผลิตผ้าพื้นเมืองจึงแตกต่างกันไปตามกลุ่มวัฒนธรรม<br /></span><br /><span style="color:#000099;"><strong>กลุ่มอีสานเหนือ<br /></strong></span><br /><span style="color:#cc0000;">เป็นกลุ่มชนเชื้อสายลาวที่มีกำเนิดในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขง และยังมีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ เช่น ข่า ผู้ไท โส้ แสก กระเลิง ย้อ ซึ่งกลุ่มไทยลาวนี้มีความสำคัญบิ่งในการผลิตผ้าพื้นเมืองของอีสาน ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตจากฝ้ายและไหม แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการนำเอาเส้นใยสังเคราะห์มาทอร่วมด้วย ผ้าที่นิยมทอกัยในแถบอีสานเหนือคือ ผ้ามัดหมี่ ผ้าขิด และผ้าแพรวา<br />ผ้ามัดหมี่ เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองที่ใช้กรรมวิธีในการย้อมสีที่เรียกว่า การมัดย้อม (tie dye) เพื่อทำให้ผ้าที่ทอเกิดเป็นลวดลายสีสันต่างๆ เอกลักษณ์อันโดดเด่นก็อยู่ตรงที่รอยซึมของสีที่วิ่งไปตามบริเวณของลวดลายที่ผูกมัด และการเหลื่อมล้ำในตำแหน่งต่างๆ ของเส้นด้ายเมื่อถูกนำขึ้นกี่ในขณะที่ทอ ลวดลายสีสันอันวิจิตรจะได้มาจากความชำนาญของการผูกมัดและย้อมหลายครั้งในสีที่แตกต่าง ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ<br />การทอผ้ามัดหมี่จะมีแม่ลายพื้นฐาน 7 ลาย คือ หมี่ขอ หมี่โคม หมี่บักจัน หมี่กงน้อย หมี่ดอกแก้ว หมี่ข้อและหมี่ใบไผ่ ซึ่งแม่ลายพื้นฐานเหล่านี้ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เช่น จากลายใบไม้ ดอกไม้ชนิดต่างๆ สัตว์ เป็นต้น ผ้ามัดหมี่ที่มีชื่อเสียงได้แก่ เขตอำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น อำเภอบ้านเขวา จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น<br />ผ้าขิด หมายถึงผ้าที่ทอโดยวิธีใช้ไม้เขี่ยหรือสะกิดซ้อนเส้นยืนขึ้นตามจังหวะที่ต้องการ เว้นแล้วสอดเส้นด้ายพุ่งให้เดินตลอด การเว้นเส้นยืนถี่ห่างไม่เท่ากันจะทำให้เกิดลวดลายต่างๆ ทำนองเดียวกับการทำลวดลายของเครื่องจักสาน จากกรรมวิธีที่ต้องใช้ไม้เก็บนี้จึงเรียกว่า การเก็บขิด มากกว่าที่จะเรียก การทอขิด ผ้าขิดที่นิยมทอกันมีอยู่ 3 ชนิด ตามลักษณะประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก คือ<br />ผ้าตีนซิ่น เป็นผ้าขิดที่ทอเพื่อใช้ต่อชายด้านล่างของผ้าซิ่น เนื่องจากผ้าทอพื้นเมืองจะมีข้อจำกัดในเรื่องของขนาดผืนผ้า ดังนั้นเวลานุ่งผ้าซิ่นผ้าจะสั้นจึงต่อชายผ้าที่เป็นตีนซิ่นและหัวซิ่นเพื่อให้ยาวพอเหมาะ<br />ผ้าหัวซิ่น ก็เช่นเดียวกันเป็นผ้าขิดที่ใช้ต่อชายบนของผ้าซิ่น<br />ผ้าแพรวา มีลักษณะการทอเช่นเดียวกับผ้าจก แพรวา มีความหมายว่า ผ้าไหมหรือผ้าฝ้ายที่ทอเป็นผืนมีความยาวประมาณวาหนึ่งของผู้ทอ ซึ่งยาวประมาณ 1.5-2 เมตร<br />ผ้าแพรมน มีลักษณะเช่นเดียวกับแพรวา แต่มีขนาดเล็กกว่า เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นิยมใช้เช่นเดียวกับผ้าเช็ดหน้าและหญิงสาวผู้ไทนิยมใช้โพกผม<br />ผ้าลายน้ำไหล ผ้าลายน้ำไหลนี้ที่มีชื่อเสียงคือ ซิ่นน่าน (ของภาคเหนือ) มีลักษณะการทอลวดลายเป็นริ้วใหญ่ๆ สลับสีประมาณ 3 หรือ 4 สี แต่ละช่วงอาจคั่นลวดลายให้ดูงดงามยิ่งขึ้น ผ้าลายน้ำไหลของอีสานก็คงจะได้แบบอย่างมาจากทางเหนือ โดยทอเป็นลายขนานกับลำตัว และจะสลับด้วยลายขิดเป็นช่วงๆ<br />ผ้าโสร่ง เป็นผ้านุ่งสำหรับผู้ชาย ลักษณะของผ้าโสร่งจะทอด้วยไหมหรือฝ้ายมีลวดลายเป็นตาหมากรุกสลับเส้นเล็ก 1 คู่ และตาหมากรุกใหญ่สลับกัน กว้างประมาณ 1 เมตร ยาว 2 เมตร เย็บต่อกันเป็นผืน<br /></span></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#000099;">กลุ่มอีสานใต้</span></strong><br /><br /><span style="color:#660000;">คือกลุ่มคนไทยเชื้อสายเขมรที่กระจัดกระจายตั้งถิ่นฐานอยู่ในแถบจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษและบุรีรัมย์ เป็นกลุ่มที่มีการทอผ้าที่มีเอกลักษณ์โดยเฉพาะของตนเอง มีสีสันที่แตกต่างจากกลุ่มไทยลาว<br /><br />ผ้ามัดหมี่ ในกลุ่มอีสานใต้ก็มีการทอเช่นเดียวกันนิยมใช้สีที่ทำเองจากธรรมชาติเพียงไม่กี่สี ทำให้สีของลวดลายไม่เด่นชัดเหมือนกลุ่มไทยลาว แต่ที่เห็นเด่นชัดในกลุ่มนี้คือการทอผ้าแบบอื่นๆ เพื่อการใช้สอยกันมากเช่น ผ้าหางกระรอก จะมีสีเลื่อมงดงามด้วยการใช้เส้นไหมต่างสีสองเส้นควั่นทบกันทอแทรก<br />ผ้าปูม เป็นผ้าที่มีลักษณะการมัดหมี่ที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์ต่างจากถิ่นอื่น<br />ผ้าเซียม (ลุยเซียม) ผ้าไหมที่นิยมใช้ในกลุ่มผู้สูงอายุ<br />ผ้าขิด การทอผ้าขิดในกลุ่มอีสานใต้มีทั้งการทอด้วยผ้าฝ้ายและผ้าไหม แต่ส่วนมากมักจะใช้ต่อเป็นตีนซิ่นในหมู่คนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี เพราะชาวบ้านทั่วไปไม่นิยมใช้กัน ลักษระการต่อตีนซิ่นของกลุ่มนี้นิยมใช้เชิงต่อจากตัวซิ่นก่อน แล้วจึงใช้ตีนซิ่นต่อจากเชิงอีกทีหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มไทยลาวอย่างเด่นชัด<br /><br /><br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZx2afFQ7JS9Z_80bKUkRW_W-HRekio1OavaXCEc1kLaEU_05OXlwJaMtUsPKnxeFqEW94gX7htWzqPtwXBzco9GASC9BWdRAH-_p13nBjHpfEhN0oFVJzLxbXA8MqIMcdhO3uOPFDHR28/s1600-h/Risanchula2293.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><img style="MARGIN: 0px 10px 10px 0px; WIDTH: 472px; FLOAT: left; HEIGHT: 288px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5423880007987537394" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZx2afFQ7JS9Z_80bKUkRW_W-HRekio1OavaXCEc1kLaEU_05OXlwJaMtUsPKnxeFqEW94gX7htWzqPtwXBzco9GASC9BWdRAH-_p13nBjHpfEhN0oFVJzLxbXA8MqIMcdhO3uOPFDHR28/s320/Risanchula2293.jpg" /></span></a><br /></span><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><br /><br /><br /><br /></span><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZx2afFQ7JS9Z_80bKUkRW_W-HRekio1OavaXCEc1kLaEU_05OXlwJaMtUsPKnxeFqEW94gX7htWzqPtwXBzco9GASC9BWdRAH-_p13nBjHpfEhN0oFVJzLxbXA8MqIMcdhO3uOPFDHR28/s1600-h/Risanchula2293.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span></a></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZx2afFQ7JS9Z_80bKUkRW_W-HRekio1OavaXCEc1kLaEU_05OXlwJaMtUsPKnxeFqEW94gX7htWzqPtwXBzco9GASC9BWdRAH-_p13nBjHpfEhN0oFVJzLxbXA8MqIMcdhO3uOPFDHR28/s1600-h/Risanchula2293.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span></a></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjZx2afFQ7JS9Z_80bKUkRW_W-HRekio1OavaXCEc1kLaEU_05OXlwJaMtUsPKnxeFqEW94gX7htWzqPtwXBzco9GASC9BWdRAH-_p13nBjHpfEhN0oFVJzLxbXA8MqIMcdhO3uOPFDHR28/s1600-h/Risanchula2293.jpg"><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span></a></span><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"></span><br /><br /><br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#00cccc;">ลักษณะผ้าพื้นเมืองอีสาน</span></strong><br /><br /><span style="color:#993300;">ลวดลายผ้าพื้นเมืองอีสานทั้งสองกลุ่มนิยมใช้ลายขนานกับตัว ซึ่งต่างจากผ้าซิ่นล้านนาที่นิยมลายขวางตัวและนุ่งยาวกรอมเท้า ในขณะที่ชาวไทยลาวนิยมนุ่งผ้าซิ่นสูงระดับเข่าแต่ไม่สั้นเหมือนผู้หญิงเวียงจันทร์และหลวงพระบาง การต่อหัวซิ่นและตีนซิ่นจะต่อด้วยผ้าชนิดเดียวกัน ส่วนหัวซิ่นนิยมด้วยผ้าไหมชิ้นเดียวทอเก็บขิดเป็นลายโบคว่ำและโบหงายมีสีแดงเป็นพื้น ส่วนการต่อตะเข็บและลักษณะการนุ่งจะมีลักษณะเฉพาะแตกต่างไปจากภาคอื่นคือ การนุ่งซิ่นจะนุ่งป้ายหน้าเก็บซ่อนตะเข็บ ยกเว้นกลุ่มไทยเชื้อสายเขมรในอีสานใต้ ซึ่งมักจะทอริมผ้าเป็นริ้วๆ ต่างสีตามแนวตะเข็บซิ่น จนดูกลมกลืนกับตะเข็บและเวลานุ่งจะให้ตะเข็บอยู่ข้างสะโพก<br /></span><br /><br /></span><br /><br /><br /><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 403px; DISPLAY: block; HEIGHT: 266px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5423880456432547394" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg37sFPcEMYOgFRc_U8CWw4TIykuRqsSwgcjgY4IL3EK74xKBxIgo9oyMkWuRvmOIUS67KtCacZaoSEiQulpSC0t5Nu6P121yK1OeBCnMW5JVD3VgqfPSkVezzL_MQ_jzllvrDjo8-zInKr/s320/Risanchula2294.jpg" /><br /><strong><span style="color:#00cccc;">การใช้ผ้าสำหรับสตรีชาวอีสาน</span></strong><span style="color:#00cccc;"><br /></span><br /><span style="color:#ff6600;">ผ้าซิ่นสำหรับใช้เป็นผ้านุ่งของชาวอีสานนั้นจะมีลักษณะการใช้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ<br />- ผ้าซิ่นสำหรับผู้หญิงที่มีสามีแล้ว จะใช้ผ้าสามชิ้นมาต่อกันโดยแบ่งเป็นผ้าหัวซิ่น ผ้าตัวซิ่น และผ้าตีนซิ่น ผ้าแต่ละชิ้นมีขนาดและลวดลายต่างกัน<br />-ผ้าหัวซิ่น จะมีขนาดกว้างประมาณ 20 ซม. ยาวเท่ากับผ้าซิ่น มีลวดลายเฉพาะตัว คือ ทอเป็นลายขวางสลับเส้นไหมแทรกเล็กๆ สลับสีสวยงาม<br />-ส่วนตัวซิ่น คือส่วนกลางของผ้าซิ่นมีความกว้างมากกว่าส่วนอื่น ซึ่งส่วนใหญ่มีขนาดเท่าฟืมที่ใช้ทอ ซึ่งนิยมทอเป็นลายมัดหมี่ ส่วนตีนซิ่น คือส่วนล่างของผ้าซิ่นจะมีความกว้างเพียง 10 ซม. และยาวเท่ากับความยาวของผ้าซิ่น เมื่อต่อเข้ากับตัวซิ่นแล้วลายจะเป็นตรงกันข้ามกับผ้าหัวซิ่น ความงามอยู่ที่การสลับสีส่วนใหญ่จะเลียนแบบจากลวดลายของสัตว์ เช่น ลายงูทำเป็นลายปล้องสีเหลืองและดำ<br />-ผ้าซิ่นสำหรับหญิงสาว จะเป็นผ้าซิ่นมัดหมี่เหมือนกันแต่เป็นผืนเดียวกันตลอด ใช้วิธีการมัดหมี่เป็นดอกและลวดลายติดต่อแล้วทอเป็นผืนเดียวกันตลอด ในผืนซิ่นจะมีลายที่ริมขอบด้านล่างในลักษณะเชิงซิ่นลวดลายส่วนใหญ่ทั้งตัวซิ่นและเชิงนิยมใช้ลายรูปสัตว์ เช่น ไก่ฟ้า หงษ์ทอง<br /></span></span></p><p><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><span style="color:#3366ff;">แหล่งที่มาของข้อมูล</span></span><br /><span style="color:#3366ff;"><a href="http://www.student.chula.ac.th/~49467673/costum_fon_thdance.htm">http://www.student.chula.ac.th/~49467673/costum_fon_thdance.htm</a> </span><span style="color:#3366ff;"><br /><a href="http://student.nu.ac.th/isannu/province/isan.htm">http://student.nu.ac.th/isannu/province/isan.htm</a><br /><a href="http://eventsbanrakthai.blogspot.com/">http://eventsbanrakthai.blogspot.com/</a></span></p>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-69971121734448630132010-01-06T20:29:00.000-08:002010-01-09T00:14:27.607-08:00วัฒนธรรมประเพณีการแสดงของภาคอีสาน<span style="color:#ff0000;"> </span><span style="font-family:arial;font-size:180%;"><strong><span style="color:#ff0000;">การแสดง</span><span style="color:#ff0000;">ของภาคอีสาน</span></strong></span><br /><br /> <span style="color:#ff0000;">ภาคอีสานหรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สามารถแบ่งเรื่องการละเล่นพื้นเมืองได้ เป็น 2 กลุ่ม คือ<br /> <span style="font-family:arial;color:#3333ff;"><strong>1. กลุ่มอีสานเหนือ</strong></span> ซึ่งสืบทอดวัฒนธรรมมาจากกลุ่มวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำโขง ที่เรียกว่า กลุ่มไทยลาว หรือกลุ่มหมอลำ หมอแคน ซึ่งเป็นกลุ่มชนที่มีมากที่สุดในภาคอีสาน<br /> <span style="color:#000099;"> <span style="font-family:arial;"><strong>2. กลุ่มอีสานใต้</strong></span></span> แบ่งออกได้อีก 2 กลุ่ม คือ<br />• กลุ่มที่สืบทอดวัฒนธรรมเขมร - ส่วย หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเจรียง - กันตรึม"<br />• กลุ่มวัฒนธรรมโคราช หรือที่เรียกว่า "กลุ่มเพลงโคราช"<br />ถ้าพิจารณาถึงประเภทของเพลงพื้นเมืองอีสาน โดยยึดหลักเวลา และโอกาสในการขับร้องเป็นหลัก สามารถแบ่งออกได้ 2 กลุ่ม คือ<br /> <span style="color:#000099;"> <span style="font-family:arial;"><strong>1. เพลงพิธีกรรม</strong></span></span><br />• กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ การลำพระเวสหรือการเทศน์มหาชาติ การแหล่ต่างๆ การลำผีฟ้ารักษาคนป่วย การสวดสรภัญญะ และการสู่ขวัญในโอกาสต่างๆ ฯลฯ<br />• กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ เรือมมม็วต เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งของชาวสุรินทร์ ซึ่งมีความเชื่อมาแต่โบราณว่า "เรือมมม็วต" จะช่วยให้คนที่กำลังเจ็บไข้ได้ป่วยมีอาการทุเลาลงได้ ผู้เล่นไม่จำกัดจำนวน แต่จะต้องมีหัวหน้าหรือครูมม็วตอาวุโสทำหน้าที่เป็นผู้นำพิธีต่างๆ และเป็นผู้รำดาบไล่ฟันผีหรือเสนียดจัญไรทั้งปวง<br /> <span style="font-family:arial;color:#000099;"><strong>2. เพลงร้องเพื่อความสนุกสนาน</strong></span><br />• กลุ่มอีสานเหนือ ได้แก่ หมอลำ ซึ่งแบ่งได้ 5 ชนิด คือ หมอลำพื้น หมอลำกลอน หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน หมอลำผีฟ้า<br />• กลุ่มอีสานใต้ ได้แก่ กันตรึม เจรียง เพลงโคราช<br />ปัจจุบันมีการแสดงชุดใหม่ที่สถาบันต่างๆ ของภาคอีสานแต่ละกลุ่มได้ประดิษฐ์การฟ้อนรำขึ้นใหม่ ทำให้มีผู้แบ่งศิลปะการฟ้อนทั้งชุดเก่า และชุดใหม่ที่ปรากฏอยู่ของภาคอีสานออกเป็น 8 กลุ่มใหญ่ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะออกมาในรูปของการแสดงพื้นเมือง ได้แก่<br /> 1. การฟ้อนเลียนกิริยาอาการของสัตว์ เช่น กระโนบติงตอง แมงตับเต่า และกบกินเดือน ฯลฯ<br /> 2. การฟ้อนชุดโบราณคดี เช่น ระบำบ้านเชียง รำศรีโคตรบูรณ์ ระบำพนมรุ้ง และระบำจัมปาศรี<br /> 3. การฟ้อนประกอบทำนองลำนำ เช่น ฟ้อนคอนสวรรค์ รำตังหวาย เซิ้งสาละวัน และเซิ้งมหาชัย<br /> 4. การฟ้อนชุดชุมนุมเผ่าต่างๆภูไท 3 เผ่า คือ เผ่าไทภูพาน รวมเผ่าไทยบุรีรัมย์ และเผ่าไทยโคราช<br /> 5. การฟ้อนเนื่องมาจากวรรณกรรม เช่น มโนห์ราเล่นน้ำ<br /> 6. การฟ้อนเซ่นสรวงบูชา เช่น ฟ้อนภูไท แสกเต้นสาก โส้ทั่งบั้ง เซิ้งผีหมอ ฟ้อนผีฟ้า ฟ้อนไทดำ เรือมปัลโจล ฟ้อนแถบลาน รำบายศรี เรือมมม๊วต เซิ้งบั้งไฟ เซิ้งนางด้ง รำดึงครกดึงสาก และเซิ้งเชียงข้อง ฯลฯ<br /> 7. การฟ้อนศิลปาชีพ เช่น รำตำหูกผูกขิก ฟ้อนทอเสื่อบ้านแพง เรือมกลอเตียล (ระบำเสื่อ) เซิ้งสาวย้อตำสาด รำปั้นหม้อ รำเข็นฝาย เซิ้งสาวไหม รำแพรวา เซิ้งข้าวปุ้น รำบ้านประโคก เซิ้งปลาจ่อม เซิ้งแหย่ไข่มดแดง และเรือมศรีผไทสมันต์ ฯลฯ<br /> 8. การฟ้อนเพื่อความสนุกสนานรื่นเริง เช่น เซิ้งแคน ฟ้อนชุดเล่นสาว เป่าแคน รำโปงลาง ฟ้อนกลองตุ้ม เซิ้งกะโป๋ เซิ้งทำนา เซิ้งสวิง เซิ้งกะหยัง รำโก๋ยมือ รำกลองยาวอีสาน ระบำโคราชประยุกต์ เรือมอันเดร เรือมซันตรูจน์ เรือมตลอก (ระบำกะลา) และเรือมจับกรับ ฯลฯ<br /><span style="font-family:arial;"><strong> <span style="color:#cc33cc;">ตัวอย่างการแสดงพื้นเมืองภาคอีสาน</span></strong></span><span style="color:#cc33cc;"><br /><span style="font-family:arial;"><strong>* หมอลำอีสาน</strong></span><br /></span>หมอลำ แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท คือ หมอลำผีฟ้า หมอลำพื้น หมอลำกลอน และหมอลำหมู่<br /><br /></span> <span style="font-family:arial;color:#009900;"><strong> เซิ้งโปงลาง<br /></strong></span><br /><p><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 261px; DISPLAY: block; HEIGHT: 208px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424638403799057858" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgfkITUaSv6MY2ebNrmAmEdU-IPazRT4UKXfnw0Fga8o4i0M5k1Q8xL6ihtTCD4NAqc4HMUNqrPSMLe8h_m3fJZOQBtuypkWpsGSdgK0T1gdwZ1L1nt8zpN5XhtCRZX8W490o4UWAKdlMT7/s320/5.jpg" /><br /><br /> <span style="color:#33cc00;">เซิ้งโปงลาง เป็นการแสดงของชาวไทยภาคอีสาน นิยมเล่นกันมากใน จังหวัดกาฬสินธุ์ การแสดงจะมีทั้งหญิงและชาย ใช้ท่ารำที่ประดิษฐ์ขึ้นตามทำนองเพลง อันเกิดจากความบันดาลใจ ด้วยลีลาแคล่วคล่องว่องไว ใช้ดนตรีโปงลางซึ่งเป็นเครื่องดนตรีทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ร้อยต่อกันเหมือนระนาดแต่ใหญ่กว่า<br />ใช้ผู้ตีสองคน คนตีคลอเสียงประสาน เรียกว่า ตีลูกเสิฟ และอีกคนตีเป็นทำนอง เรียกว่า ตีลูกเสพ มีจังหวะที่เร้าใจและสนุกสนาน เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของ เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง โปงลาง, แคน, พิณ, ซอ, ฉาบ, ฉิ่ง, กลอง<br /></span><br /> <span style="font-family:arial;"><strong> <span style="color:#00cccc;"><span style="font-size:130%;"> การแสดงฟ้อนรำภาคอีสาน</span><br /></span><br /><span style="color:#00cccc;">ฟ้อนหมากกั๊บแก้บ-ลำเพลิน</span><br /></strong></span><br /> <img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 272px; DISPLAY: block; HEIGHT: 365px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424641393665531586" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhKgNtUOmU1oEDjXhG-LXskKvdvmHVo1voKcTxeWehV6mKQtBS0uW6wAmksbnI5DYzzUCTUGpq3WGX581lCx5WIr7BP3zZDkprNxBWdf36vr9oFWvaOoY81z70KA2c-hKhm8V3Hqkh6pSIb/s320/roied04.jpg" /><br /><br /><span style="color:#ff6600;">หมากกั๊บแก้บ(กรับ) เป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะของภาคอีสาน มีด้วยกัน 2 ประเภท คือ<br /><br />1. กั๊บแก้บไม้สั้น เป็นไม้ผิวเรียบยาวประมาณ 4-6 นิ้ว<br />2. กั๊บแก้บไม้ยาว เป็นไม้ผิวเรียบมีการหยักร่องฟันปลา เพื่อขูดกันให้เกิดเสียง<br /><br />การเล่นหมากกั๊บแก้บนั้น สามารถเล่นได้ทุกโอกาสที่มีการบรรเลงดนตรีพื้นบ้าน และผู้เล่นส่วนใหญ่มักจะแต่งกายเหมือนชาวอีสานโบราณ คือนุ่งผ้าเตี่ยวมีการสักลวดลายบนร่างกาย ปัจจุบันไม่นิยมการสักจึงมักจะใช้สีเขียนลวดลายขึ้นแทน เช่นลายเสือผงาด ลายหนุมานถวายแหวน ลายนกอินทรี ลายมอม ลายสิงห์ เป็นต้น<br /> การเล่นหมากกั๊บแก้บ เป็นการเล่นที่ไม่มีรูปแบบตายตัว สุดแท้แต่ใครมีความสามารถในการแสดงออกถึงลีลาท่าทางที่โลดโผนให้เป็นที่ประทับใจของหญิงสาวได้มากน้อยเพียงใด หากเล่นกันเป็นคู่มีฝ่ายรุกฝ่ายรับ แล้วเปลี่ยนลีลาสลับกันก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและปฏิภาณของผู้เล่น ลำเพลิน เป็นการขับลำอีกประเภทหนึ่งของชาวอีสาน สันนิษฐานว่าการขับลำเพลินมาจากการลำทำนองตีกลองน้ำเพราะจังหวะลีลาท่วงทำนองคล้ายคลึงกันมาก<br /> หมอลำเพลิน ถือกำเนิดขึ้นมาในสมัยใดไม่สามารถระบุหลักฐานได้แน่ชัด แต่ก็เป็นทำนองกลอนลำที่นิยมกันอย่างกว้างขวางทั้งในภาคอีสานและประเทศลาว ตั้งแต่ พ.ศ.2505 จนถึงปัจจุบัน บางคนก็เรียกทำนองหมอลำชนิดนี้ว่าหมอลำแก้วหน้าม้า อันเนื่องมาจาก แต่เริ่มเดิมทีนั้นหมอลำเพลินนิยมเล่นเรื่อง “แก้วหน้าม้า” เพียงอย่างเดียว ในสมัยต่อมาก็มีการเล่นเรื่อง “ขุนช้างขุนแผน” ซึ่งชาวอีสานจะนิยมเรียกว่า “ขุนแผน-ลาวทอง” เพราะนิยมเล่นตอนนางลาวทองเขียนสาสน์ ปัจจุบัน ลำเพลินพัฒนาตนเองไปอย่างรวดเร็ว จึงนิยมนำเอาวรรณกรรมและนิทานพื้นบ้านมาใช้เล่นกันอย่างกว้างขวาง<br />ความไม่พิถีพิถัน ของคณะหมอลำและผู้จัดการวงหมอลำในปัจจุบัน ทำให้ภาพลักษณ์ของหมอลำเพลิน เกือบจะสูญเสียความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่นอีสานเพราะในขณะนี้หมอลำเพลินแทบทุกคณะนิยมนำเอาเครื่องดนตรีสากลมาใช้ในการบรรเลงเพลงประกอบการแสดงแทบจะไม่เหลือความเป็นขนบดั้งเดิมของหมอลำ กลอนลำที่ใช้ก็ไม่ไม้ถูกต้องตรงกับเนื้อเรื่อง มักจะลำไปเรื่อยๆตามคำกลอนของผู้เขียนเพลงจะคิดได้<br /> จุดเด่นของการฟ้อนหมากกั๊บแก้บ-ลำเพลินอยู่ที่จังหวะลีลาท่วงทำนองดนตรี ประกอบกับท่าฟ้อนของชาวอีสาน เช่น ท่าถวยแถน ท่าหมาเยี่ยว ท่าลอยปลากระเดิด ท่าเสือตะครุบ ท่าดาวน้อย ท่าลำเพลินท่าบัวหุบ-บัวบาน ท่าส่าย ท่าเนิ้ง ฯลฯ ดนตรีบรรเลงลายแมงตับเต่า และทำนองหมอลำอัศจรรย์ลายลำเพลิน</span> <br /> <span style="color:#ff0000;"><span style="font-family:arial;color:#006600;"><strong>การแต่งกาย</strong></span><br /></span> <span style="color:#ff6600;">- ชาย สวมเสื้อยันต์แขนกุดสีขาวขอบชายเสื้อสีแดง นุ่งผ้าลายโสร่ง เป็นโจงกระเบนรั้งสูงถึงต้นขา ม้วนปลายผ้าสอดไปด้านหลัง (เรียกลักษณะการนุ่งผ้าเช่นนี้ว่า การนุ่งแบบเสือลากหาง) มัดศีรษะด้วยผ้าขาวม้า และมัดเอวด้วยผ้าขิด<br /> - หญิง สวมเสื้อแขนกระบอก ห่มทับด้วยสไบขิด นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ยาวคลุมเข่า ผมเกล้ามวยประดับมวยผมด้วยดอกไม้ และสวมเครื่องประดับเงิน </span></p><p><span style="color:#ff6600;"><span style="color:#00cccc;">วีดีโอการฟ้อนหมากกับแก๊บ</span><br /></span><br /><object style="WIDTH: 417px; HEIGHT: 285px" width="417" height="285"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/eaj4p5n5GEI&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/eaj4p5n5GEI&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="340" height="285"></embed></object><br /><br /><br /> <strong><span style="color:#000099;"> </span></strong><span style="font-family:arial;font-size:130%;"><strong><span style="color:#000099;"> ฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์</span></strong><br /></span><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgi9fgIoEIdK5zI_-PYOsfE9Xu3FwVKLQlUSe5hx9MJSFwM5B0jpeE-ZSOinZT7ow_rQmRcnQpjTyuPljL_YFLL8I_zw_YzvIWAFO-5zDiQmFKmALurPw_qY3Ldeh0-6rn_X6rBv04ptUfp/s1600-h/kalsin01.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 274px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424641988340685618" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgi9fgIoEIdK5zI_-PYOsfE9Xu3FwVKLQlUSe5hx9MJSFwM5B0jpeE-ZSOinZT7ow_rQmRcnQpjTyuPljL_YFLL8I_zw_YzvIWAFO-5zDiQmFKmALurPw_qY3Ldeh0-6rn_X6rBv04ptUfp/s320/kalsin01.jpg" /></a><br /><br /> <span style="color:#ff6600;">ชาวภูไทดำในจังหวัดกาฬสินธุ์ อาศัยอยู่ในเขตอำเภอสหัสขันธุ์ อำเภอกุฉินารายณ์ อำเภอเขาวง อำเภอคำม่วง และอำเภอสมเด็จ<br /> การฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์ เป็นการฟ้อนประกอบทำนองหมอลำภูไท ซึ่งเป็นทำนองพื้นเมืองประจำชาชาติพันธุ์ภูไท ซึ่งปกติแล้วการแสดงหมอลำภูไท มักจะมีการฟ้อนรำประกอบกันไปอยู่แล้ว ซึ่งทำให้การฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์ในแต่ละอำเภอหรือหมู่บ้าน จะมีท่าฟ้อนที่แตกต่างกัน การฟ้อนภูไทกาฬสินธุ์ เป็นการฟ้อนที่ได้การปรับปรุงท่ามาจากท่าฟ้อนภูไท ท่าฟ้อนในเซิ้งบั้งไฟ และท่าฟ้อนดอนตาล ประกอบด้วยท่าฟ้อนไหว้ครู ท่าเดิน ท่าช่อม่วง ท่ามโนราห์ ท่าดอกบัวบาน ท่ามยุรี ท่ามาลัยแก้ว ฯลฯ ซึ่งผู้ฟ้อนจะเป็นผู้หญิงทั้งหมด ท่าฟ้อนของชาวภูไทได้ถูกรวบรวมโดย นายมณฑา ดุลณี ร่วมกับกลุ่มแม่บ้านชาวภูไทบ้านโพน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นผู้คิดประดิษฐ์ท่าฟ้อนภูไทให้เป็นระเบียบ 4 ท่าหลัก ส่วนท่าอื่นๆนั้น คณะครูหมวดนาฏศิลป์พื้นบ้าน วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ เป็นผู้คิดประดิษฐ์โดยได้นำเอาการฟ้อนของชาวภูไทในจังหวัดกาฬสินธุ์ อาศัยอยู่ในเขตอำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์ และอำเภอคำม่วง รวบรวมเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งเมื่อเสร็จเรียบร้อย จึงได้ทำการแสดงครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2537 ณ พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จังหวัดสกลนคร<br /> เครื่องดนตรี แบบดั้งเดิม ใช้ แคน กลองกิ่ง กลองตุ้ม กลองแตะ กลองยาว ฆ้องโหม่ง พังฮาด ไม้กั๊บแก๊บ สำหรับวงโปงลาง ใช้เครื่องดนตรีครบชุดของวงโปงลาง ลายเพลง ใช้ลายภูไทน้อย<br /><br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMvemS0KtDKSVs3HSzKD_z1f0WKxAomkYVWI8HguKAIx4ZnpP-UQbbcKH_Gpe-mBuPNWqkXQEoitqcU0fawypeMpyLxCcYAbWuRQUbKD8qV1PNqk9YsayalQy99AE9ygYSxOMV4avT601a/s1600-h/kalsin01_1.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 339px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424643878039696354" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiMvemS0KtDKSVs3HSzKD_z1f0WKxAomkYVWI8HguKAIx4ZnpP-UQbbcKH_Gpe-mBuPNWqkXQEoitqcU0fawypeMpyLxCcYAbWuRQUbKD8qV1PNqk9YsayalQy99AE9ygYSxOMV4avT601a/s320/kalsin01_1.jpg" /></a><br /><span style="font-family:arial;"><strong> <span style="color:#ff0000;">การแต่งกาย</span></strong></span><br /> <span style="color:#009900;">สวมเสื้อแขนกระบอกสีดำ แนวปกคอเสื้อและแนวกระดุมตกแต่งด้วยผ้าแถบลายแพรวาสีแดง กุ๊นขอบลายผ้าด้วยผ้ากุ๊นสีเหลืองและขาว ประดับด้วยกระดุมเงิน ห่มผ้าสไบไหมแพรวาสีแดง นุ่งผ้าซิ่นมัดหมี่ภูไทมีตีนซิ่นยาวคลุมเข่า ผมเกล้ามวยมัดมวยผมด้วยผ้าแพรมน หรือผ้าแพรฟอย และสวมเครื่องประดับเงิน<br /><br /></span><span style="color:#ff0000;"><span style="font-family:arial;"><strong>กลอนลำภูไทกาฬสินธุ์ (วิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์)<br /></strong></span><br />โอยนอ.... ท่าน ผู้ฟังเอ้ย<br />บัดนี้ หันมาเว้า ทางภูไทกันตอนต่อ ขอเชิญพวกพี่น้อง ที่มาซ้อง ให้รับฟัง เจ้าเอ้ย เจ้าเอย<br />ชายเอ้ย เพิ่นว่าเมืองกาฬ์สินธุ์นี้ ดินดำ ดอกน้ำชุ่ม มีพ่องปลากุ่มบ้อน ดอกคือแข้เจ้าแก่งหาง<br />คันว่าปลานางบ้อน คือขางดอกฟ้าลั่น บัดว่าจั๊กจั่นฮ้อง ๆ ดอกคือฟ้าเจ้าล่วงบน อ้ายเอ้ย อ้ายเอย<br />ชายเอ้ย อันว่าเมืองกาฬ์สินธุ์นี้ มีของดี เจ้าหลายอย่าง ประเพณีบ่ว่าง บ่ลืมฮีตแม่นเก่าเดิม<br />ชายเอ้ย อันว่าเมืองฟ้าแดด สงยางถิ่นเก่า ถิ่นโบราณแต่เค้า อยากเชิญเจ้าไปเที่ยวชม อ้ายเอ้ย อ้ายเอย<br />ชายเอ้ย เชิญไปชมผืนผ้า ล้ำค่าแพรวาไหม ชื่อเสียงเขาดังไกล ส่าไปซุเมืองบ้าน<br />ส่วนว่าโปงลางนั่น ของสำคัญแต่เก่าก่อน ตาออนซอนบัดได้พ้อ ๆ บ่ลืมน้องผู้เดี่ยวโปง อ้ายเอ้ย อ้ายเอย<br />โอย.. นอ.... โอย... นา... สวยเลิงเลิง น้องนี่เอย... นา<br /><br />ชายเอ้ย เที่ยวบ่เบื่อดอกเมืองฟ้า ขึ้นชื่อว่ากาฬสินธุ์ เมืองเสียงพิณ ลำปาว หมู่ไดโนเสาร์นั่น<br />ทั้งภูสิงห์ ภูค่าว ภูปอ ธาตุยาคู สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดอกคู่บ้าน ๆ สถิตแน่นแม่นคู่เมือง อ้ายเอ้ย อ้ายเอย<br /><br />ชายเอ้ย คันว่าสาวภูไทนี่ สาวผู้ดีที่เขาส่า สาวเขาวงนั่นนา ว่างามล้ำ ลื่นไผ แท้เด้<br />ชายเอ้ย สาวภูไทบัวขาวนั่น งามคือกันบ่ออ้ายว่า สาวคำม่วงพุ่นนา ๆ กะคือด้ามดั่งเดียว กันนา อ้ายเอย<br /><br />ชายเอ้ย เว้ามาฮอดบ่อนนี้ น้องพี่สิลาลง ขอลาไลคืนเมือ สู่เมืองกาฬ์สินธุ์พุ้น<br />ขอขอบคุณเด้อลุงป้า อาวอา พ่อและแม่ บัดเมื่อคราวหน้าพุ้น ๆ คงสิได้ดอกพบกัน เจ้าเอ้ย เจ้าเอย</span><br /><br /> <span style="color:#ff0000;"> <span style="font-family:arial;"><strong> </strong></span></span><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#ff0000;"><strong><span style="color:#009900;">ฟ้อนแม่บทอีสาน</span><br /></strong></span><br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhbm3xnISPs_xFlJYjrGduyfG2FNW0CMpURbruLzTMV_fi5eQpoFDhipD0eXvoX5h3MFXE4Lsn6aw1zCrNsqXqpfG3S0M-UvJjJKhFVkkNUTKAwRNRJekWfWQ5iZTzol1pJ6BZjJcFwkZqo/s1600-h/roied14.jpg"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 262px; DISPLAY: block; HEIGHT: 320px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5424644487170448850" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhbm3xnISPs_xFlJYjrGduyfG2FNW0CMpURbruLzTMV_fi5eQpoFDhipD0eXvoX5h3MFXE4Lsn6aw1zCrNsqXqpfG3S0M-UvJjJKhFVkkNUTKAwRNRJekWfWQ5iZTzol1pJ6BZjJcFwkZqo/s320/roied14.jpg" /></a><br /><span style="color:#00cccc;"><span style="font-family:arial;"><strong>ความเป็นมา<br /></strong></span> ในปี พ.ศ.2522 วิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด ได้จัดตั้งขึ้นเป็นวิทยาลัยนาฏศิลป์แห่งแรกในภาคอีสาน เปิดทำการเรียนการสอนด้านวิชาสามัญ และดนตรีนาฏศิลป์ทั้งที่เป็นของราชสำนักและพื้นบ้านอีสาน โดยเฉพาะศิลปะพื้นบ้านอีสานได้เชิญหมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน มาสอนหมอลำ อาจารย์ทองคำไทยกล้า สอนเป่าแคน อาจารย์ทรงศักดิ์ ประทุมศิลป์ สอนโปงลาง โหวดและพิณ และอาจารย์ทองจันทร์ สังฆะมณี เป็นผู้สอนการฟ้อนรำ ในปีพ.ศ. 2523 นายชวลิต มณีรัตน์ ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยนาฏศิลปร้อยเอ็ด มีความเห็นว่า ท่าฟ้อนของคนอีสานนั้น ล้วนมีที่มาจากสิ่งต่างๆเช่น<br />1. มาจากการเคลื่อนไหวอิริยาบถของสัตว์ เช่น ท่าเสือออกเหล่า ท่าเต่าลงหนอง ท่ายูงรำแพน เป็นต้น<br />2. มาจากธรรมชาติ เช่น ท่าลมพัดพร้าว<br />3. มาจากวรรณกรรมท้องถิ่น เรื่องพระลัก-พระราม เช่น ท่าทศกัณฐ์โลมนาง ท่าหนุมานถวายแหวน<br /> จึงควรนำท่าฟ้อนเหล่านนี้มาผนวกเข้าด้วยกัน แล้วจัดทำเป็นท่าแม่บทแบบมาตรฐานของอีสาน เพื่อใช้การเรียนการสอนด้านนาฏศิลป์พื้นเมือง และจะได้นำออกแสดงงานเผาเทียนเล่นไฟที่จังหวัดสุโขทัย ประมาณปี พ.ศ.2525จึงได้มอบหมายให้อาจารย์ฉวีวรรณ ดำเนิน(พันธุ) นายจีรพล เพชรสม ผู้ช่วยผู้อำนวยการและคณะครูศิลปะพื้นเมืองไปดำเนินการศึกษาค้นคว้าและเก็บข้อมูลท่าฟ้อนอีสาน จากหมอลำที่มีชื่อเสียงหลายๆท่าน เช่น หมอลำเคน ดาหลา หมอลำเปลี่ยน วิมลสุข หมอลำจันทร์เพ็ญ นิตะอินทร์ หมอลำสุบรรณ พะละสูรย์ และหมอลำชาลี ดำเนิน ผู้เป็นบิดาของอาจารย์ฉวีวรรณ ดำเนิน นอกจากนั้นยังได้ศึกษาท่าฟ้อนผีฟ้าอีกด้วย แล้วได้นำมารวบรวมเรียบเรียงท่าฟ้อนแล้วแต่งกลอนลำให้เสร็จสมบูรณ์ในเดือนเมษายน พ.ศ.2525แล้วได้นำออกแสดงงานเผาเทียนเล่นไฟที่จังหวัดสุโขทัย ประมาณปี พ.ศ.2525<br /><br /></span><span style="color:#009900;">วาดฟ้อนประกอบกลอนลำแม่บทอีสาน<br /> อาจารย์ฉวีวรรณ ดำเนิน(พันธุ) ได้กล่าวถึงที่มาของท่าฟ้อนแม่บทอีสานว่า ได้รับการถ่ายทอดมาจาก หมอลำชาลี ดำเนิน ผู้เป็นบิดา นอกจากนั้น ก็ได้มาจากหมอลำอาวุโสที่มีชื่อเสียงซึ่งมีท่าฟ้อนสวยงามแปลกตา จึงได้มารวมกับท่าฟ้อนของตนที่มีอยู่แล้ว เขียนลำดับกลอนลำแม่บทอีสานขึ้นมา เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน และการแสดงซึ่งในแต่ละท่าที่ได้รวบรวมมานั้น ก็ได้มาจากหมอลำที่มีชื่อเสียง ดังนี้<br />1.ได้มาจากหมอลำชาลี ดำเนิน ผู้เป็นบิดา ถ่ายทอดให้ทั้งหมด 19 ท่า ได้แก่<br />- ท่าหยิกไหล่ลายมวย - ท่าลำเพลิน - ท่าตีกลองกินเหล้า - ท่าหงส์บินเวิ่น<br />- ท่าตาขำตีงัว - ท่าคนเมาเหล้า - ท่าอีแหลวบินเซิ่นเอาไก่น้อย - ท่าอีเกียจับไม้<br />- ท่าสาวน้อยประแป้ง - ท่าตำข้าว - ท่าเต่าลงหนอง - ท่ากาเต้นก้อน<br />- ท่าเสือออกเหล่า - ท่าฟ้อนอุ่นมโนราห์ - ท่าตุ่นเข้าฮู - ท่าช้างชูงวง<br />- ท่าเกี่ยวข้าวในนา - ท่าช้างเทียมแม่ - ท่าฟ้อนเกี้ยวซู้<br /><br />2. ได้จากหมอลำเปลี่ยน วิมลสุข ประมาณ 10 ท่าได้แก่<br />- ท่าพรหมสี่หน้า - ท่าผู้เฒ่านั่งฟังธรรม -ท่าทศกัณฐ์โลมนาง - ท่าความเถิกใหญ่แล่นเข้าชนกัน<br />- ท่านกเจ่าบินวน - ท่าสักสุ่ม - ท่านับเงินตรา - ท่าไถนา - ท่ากวยจับอู่<br />- ท่าหนุมานถวายแหวน<br /><br />3. ได้จากหมอลำเคน ดาหลา 8 ท่า ได้แก่<br />- ท่าแฮ้งหย่อนขา - ท่ากาตากปีก - ท่าหลีกแม่เมีย - ท่าปู่สิงหลาน<br />- ท่าลิงหลอกเจ้า - ท่าลายมวย - ท่าผู้เฒ่านั่งผิงไฟ - ท่าแข้แก่งหาง<br /><br />4.ได้จากหมอลำจันทร์เพ็ญ นิตะอินทร์ 4 ท่า ได้แก่<br />- ท่าพายเฮือส่วง - ท่าคนเข็นฝ้าย - ท่ายูงรำแพน - ท่างมปลาในน้ำ<br /><br />5.ได้จากหมอลำสุบรรณ พะละสูรย์ 6 ท่า ได้แก่<br />- ท่าลมพัดพร้าว - ท่าสาวลงท่ง - ท่าสาวแม่ฮ้างลงท่งถือหวิง - ท่าคนขาแหย่ง<br />- ท่ากินรีชมดอก - ท่าพิเภกถวยครู<br /><br />6 . ได้จากหมอลำผีฟ้าในพิธีกรรม 1 ท่า คือ<br />- ท่าเลี้ยงผีไท้<br /><br /><span style="font-family:arial;font-size:130%;">กลอนลำแม่บทอีสาน</span><br />โดย หมอลำฉวีวรรณ ดำเนิน<br />“แม่นว่านอนาย จั่งว่าฟังเด้อท่านทุกท่านที่รอฟัง บางทีกลอนบ่จังสิออกเป็นลอยฟ้อน<br />ทั้งโยะย่อนตามกลอนแอ่นฟัง เสียงแคนจ้าวๆยอขึ้นยกมือ<br />ท่าหนึ่งนั้น ชื่อพระนารายณ์ ยกแขนสีกายๆออกพรหมสี่หน้า<br />ท่านี้เผิ่นเอิ้นว่าทศกัณฐ์โลมนาง น้องมณโฑเอวบางลูบหลังลูบไหล่<br />มีท่าใหม่หย่างไปหย่างมาฮอดบ่หนีไกลตาเอิ้นช้างเทียมแม่<br />ยกมือขึ้นแก่แด่ท่าช้างชูงวง คือจั่งเอามือควงข้างพุ้นข้างพี่<br />ทำทรงนี้เอียงกานโยะย่อนเอิ้นว่า กาเต้นก้อน เทิงย้อนบ่เซา<br />เข้าท่านี้หยิกไหล่ลายมวย มีเทิงนวยเทิงแข็งคู่กันไปพร้อม ไผก็ยอมจั่งว่านอเฮาแล้ว มวยไทย ออกท่าขนมต้มผู้ให้ลายตั้งท่ามวย กวยขาซ้ายปัดป่ายขาหลัง บ่มีกลัวเกรงหยังท่ารำแนวนี้<br />ฟังทางพี้ยังมีท่าใหม่ ท่ามวยไทยกะแล้วยัง แฮ้งหย่อนขา<br />ท่าต่อมาเอิ้นว่า กาตาปีก<br />ฟ้อนจั่งซี้ฟ้อนหลีกแม่เมียให้ลูกเขยไปแหน่เอาไม้แหย่ไปนำ ข่อยสิไปฟังลำขอทางไปแหน่<br />คอยท่าฟังเด้อแม่ ลมพัดตีนภู เสียงมันดังวูๆ เอิ้น ลมพัดพร้าว<br />หนาวๆเนื้อคือ เสือออกเหล่า<br />ฟ้อนจั่งซี้ท่า เต่าลงหนอง<br />ฟ้อนจั่งซี้ ตีกลองกินเหล้า เทิงเมาเทิงฟ้อนนำกันเดินม่วน<br />ดังห่วนๆแห่บุญบั้งไฟ ฟ้อนกะฟ้อนบ่ไกลเขาเอิ้น คนขาแหย่ง<br />ยกมือขึ้นแป่งแซ่ง ตาขำตีงัว เอิ้นเป็นตาอยากหัวตาขำออกท่า<br />ฟังสิว่าท่าใหม่ยังมี จักสิดีบ่ดียังมีท่าใหม่ ท่านี่ ควายเถิกใหญ่แล่นเข้าชนกัน เทิงคึกเทิงดันหลังขดหลังโก่ง<br />ท่านี้ สาวลงท่ง แก่งแขนนวยนาย ล่ะเทิงเอียงเทิงอายผู้สาวลงท่ง<br />ท่าเฮ็ดหลังโก่งๆ เกี่ยวข้าว ในนา คือกับคนงมปลาหลังขดหลังโก่ง<br />ลำกลอนฟ้อนยังมีอีกต่อ คอยถ่าฟังเด้อพ่อ ท่า ตุ่นเข้าฮู<br />ท่าต่อมาเอิ้นพิเพกถวยครู เฮ็ดมือแนวนี้<br />มีลายฟ้อนหลายอันฟ้อนคู่เอิ้นว่าฟ้อน เกี้ยวซู้ วนอ้อมใส่กัน<br />ท่าฟ้อนนั้นออกท่าวางแขนเอิ้นว่า ยูงรำแพน แอ่นแขนเลยฟ้อน<br />เทิงโยะย่อนคือแหลวบินเวิ่น เขาเอิ้นว่า แหลวเซิ่นเอาไก่น้อย สอยได้เวิ่นหนี<br />ฟ้อนจั่งซี้ทำท่าสวยๆ ทำทรงสีนวยๆ เอิ้นสาวประแป้ง<br />เถิงยามแล้งเขาว่า ลำเลี้ยงข่วง คือจั่งคนป่วงบ้าเดินหน้าอย่างไว ลำเลี้ยงไท้ลงข่วงเป็นฝูง เกินสนุกหนอลุงท่ารำแนวนี้<br />มีเสียงพร้อมคือ พายเฮือส่วง ยามน้ำล่วงเดือนสิบสอง ฟังเสียงฉาบเสียงกลองดังมาแปดแป่ง<br />ฟังสิแบ่งท่าฟ้อนออกไป เฮ็ดมือสีไวๆท่า กวยจับอู่<br />ฟ้อนจั่งซี้เอิ้นปู่สิงหลาน เป็นน่าสงสารเทิงฮิกเทิงฮ่อน<br />ฟังเบิ่งก่อนท่าผู้เฒ่านั่งฟังธรรม ปากะจ่มไปนำมุมมู้มุมมับ เบิ่งเพิ่นนับ ผิดแต่หลับตา<br />ท่าต่อมาฟ้อนหมอลำหมู่<br />ไปฮอดลำหมู่เอิ้นว่าลำเพลินนุ่งกระโปรงเขินๆเทิงลำเทิงเต้น เห็นไหมท่าลำเพลินออกท่ายกขาขึ้นท่านี้กระดกซ้ายและขวา<br />มือไขว่คว้า ยกอยู่เทิงบน เขาเอิ้นหงส์บินวน เซิ่นบนเทิงฟ้า<br />หลับตาฟ้อนเดินสามถอยสี่ คันแม่นฟ้อนท่านี้ เมาเหล้าบ่ส่วงเซา<br />ท่านี้เจ้า ผู้เฒ่านั่งผิงไฟ ฮอดบ่หนีไปไกลยกมือขึ้นผ่าง<br />ยกมือขึ้นแล้วกะหย่างถอยไปถอยมา เทิงเล่นหูเล่นตาเอิ้น ลิงหลอกเจ้า<br />ฟังฉันเว้า เขาว่ารำลักสุ่มฮอดบ่มือจุ่มสักสุ่มหาปลา<br />ท่าต่อมาเอิ้น เกียจับไม้ใต้พุ่มหมากเล็บแมว<br />เทิงขาเทิงแอวสักกะรันตำข้าว ยามตอนเช้าสักกะรันเหยียบย่ำ<br />ท่าเฮ็ดหัวต่ำๆก้นขึ้นสูงๆ ท่านี้เด้อคุณลุง งมปลาในน้ำ<br />ยามงมได้หักคอเอามายัดใส่ข้องอยู่หนองน้ำท่งนา<br />รำท่านี้นกกระเจ่าบินวน ตามันเหลียวหาปลาทุ่งนาหนองม่อง<br />ท่านี้นวลนางน้อง กินรีชมดอก ออกมาชมเที่ยวเล่นดอกไม้กลิ่นหอม<br />พร้อมว่าแล้วยังมีท่าใหม่ยังมี นี่คนเข็นไหมแกว่งไวทางนี้หรือเข็นฝ้ายเดือนหงายลงข่วง พวกผู้สาวซ่ำน้อยคอยถ่าผู้บ่าวมา<br />ท่านี้สาวแม่ฮ้างลงท่งถือหวิง ไปเก็บหอยเก็บปูฮ้องหาเอากุ้ง จับหวิงได้เอาลงไปแกว่ง ตักข้างขวาข้างซ้ายหากุ้งอยู่หนอง<br />ท่านี้เด้อพี่น้องคือฮ้อง ไถนานี่คือลุงทิดสาไถนาหนองม่อง เทิงฮือเทิงฮ้องเชือกก็ฟาดไปนำ ปากกะจ่มพึมพำลุงสาลาวเหนื่อย<br />ฟ้อนบ่เมื่อยนี่คือจ้ำลายมวย ยกมือขึ้นถวยเวทีสี่ข้าง<br />ท่าเฮ็ดมือห่างๆนี่คือ นับเงินตรา ผู้นั่นบาทหนึ่ง ผู้ฟังบาทหนึ่ง ให้หมอแคนบาทหนึ่ง<br />ท่ากู้จู้กึ่งจึ่งนี่คือหนุมาน ทั้งหมอบเทิงคลานยอแหวนถวยไท้ เห็นหรือไม่หนุมานถวายแหวน ลำฟ้อนแบบใหม่<br />ได้เรียงไล่ท่าฟ้อนคือ แข้แก่งหาง ฮอดบ่ได้หยับหย่างไปไส แก่งหางไปหางมาท่ารำแนวนี้<br />มีลายฟ้อนมโนราห์ฟ้อนหมู่ แต่นางอยู่บ่ได้บินเจ้ยเวิ่นหนี ฟ้อนจั่งนี่ ท่าอุ่นมโนราห์ พรรณนาเป็นตอนบ่อนพอฟังได้ จำเอาไว้ รำมีหลายท่า ความเป็นมาจั่งซี้จำไว้อย่าหลง อย่าหลง เอ้ย จำไว้อย่าหลง”<br />………………………..<br />จากกลอนลำแม่บทอีสานจะเห็นได้วามีชื่อเรียกท่ากำกับทั้ง 48 ท่า ดังนี้<br />1. ท่าพรหมสี่หน้า 2. ท่าทศกัณฐ์โลมนาง 3. ท่าช้างเทียมแม่ 4. ท่าช้างชูงวง 5. ท่ากาเต้นก้อน<br />6. ท่าหยิกไหล่ลายมวย 7. ท่าแฮ้งหย่อนขา 8. ท่ากาตากปีก 9. ท่าหลีกแม่เมีย 10. ท่าลมพัดพร้าว<br />11. ท่าเสือออกเหล่า 12. ท่าเต่าลงหนอง 13. ท่าตีกลองกินเหล้า 14. ท่าคนขาแหย่ง 15. ท่าตาขำตีงัว<br />16. ท่าความเถิกใหญ่แล่นเข้าชนกัน 17. ท่าสาวลงท่ง 18. ท่าเกี่ยวข้าวในนา 19. ท่าตุ่นเข้าฮู<br />20. ท่าพิเภกถวยครู 21. ท่าฟ้อนเกี้ยวซู้ 22. ท่ายูงรำแพน 23. ท่าอีแหลวบินเซิ่นเอาไก่น้อย<br />24. ท่าสาวน้อยประแป้ง 25. ท่าเลี้ยงผีไท้ 26. ท่าพายเฮือส่วง 27. ท่ากวยจับอู่ 28. ท่าปู่สิงหลาน<br />29. ท่าผู้เฒ่าฟังธรรม 30. ท่าลำเพลิน 31. ท่าหงส์บินเวิ่น 32. ท่าคนเมาเหล้า 33. ท่าผู้เฒ่านั่งผิงไฟ<br />34. ท่าลิงหลอกเจ้า 35. ท่าสักสุ่ม 36. ท่าอีเกียจับไม้ 37. ท่าตำข้าว 38. ท่างมปลาในน้ำ 39. ท่านกเจ่าบินวน 40. ท่ากินรีชมดอก 41. ท่าคนเข็นฝ้าย 42. ท่าแม่ฮ้างลงท่งถือหวิง 43. ท่าไถนา<br />44. ท่าลายมวย 45. ท่านับเงินตรา 46. ท่าหนุมานถวายแหวน 47. ท่าแข้แก่งหาง 48. ท่าอุ่นมโนราห์<br /><span style="font-family:arial;"><strong></strong></span></span></p><p><span style="color:#009900;"><span style="font-family:arial;"><strong>การแต่งกาย</strong></span><br />การฟ้อนแม่บทอีสานนั้นจะใช้ฟ้อนเดี่ยวหรือฟ้อนคู่ชายหญิงก็ได้<br />ชาย สวมเสื้อย้อมครามแขนสั้น นุ่งโสร่งไหม ใช้ผ้าขิดสีแดงมัดเอว<br />หญิง แต่งกายคล้ายหมอลำเรื่อง คือ ผมเกล้ามวยสูงทัดดอกไม้ สวมมงกุฎเพชร ห่มสไบแพรวาสีเหลืองเฉียงไหล่ ไม่สวมเสื้อ นุ่งผ้าซิ่นไหมมัดหมี่ต่อตีนจก เครื่องประดับเช่น สร้อย ต่างหู เข็มขัด กำไล<br /><br /></span><span style="color:#3333ff;"><span style="color:#000099;"> <strong><span style="font-family:arial;">แหล่งที่มาของข้อมูล</span></strong></span><strong><span style="font-family:arial;"> </span></strong></span></p><p><span style="color:#3333ff;"><br />http://www.thaidances.com/webboard/question.asp?QID=2120<br />http://beebikaew.site90.com/pong.html<br />http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/index.php?transaction=kalsin01.php<br />http://www.isan.clubs.chula.ac.th/folkdance/index.php?transaction=roied14.php<br />http://www.youtube.com/watch?v=eaj4p5n5GEI</span></p>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-18811356767536768532010-01-06T19:02:00.000-08:002010-01-06T20:20:57.327-08:00ศิลปวัฒนธรรมอีสาน<div align="left"><span style="font-family:lucida grande;font-size:180%;color:#cc0000;"><a href="http://www.blogger.com/ศิลปวัฒนธรรมอีสาน">ศิลปวัฒนธรรมอีสาน<br /></a></span><br /><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><br /></div></span><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 291px; DISPLAY: block; HEIGHT: 238px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5423842248248166370" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjItoiXQo5aa554BiQZ17Tsup1ij2TXxskX1fNRZFfKErRnErFfMc2COjciZBTl-MDbu4xYa8RpynIstYfIjxiiP6PuecRGpwic5ILznuc6_E2bkcHdgZYxfLgqedlPRzOv4mdhK9pPnyq9/s320/isan_h1.gif" /><br /><strong><span style="color:#ff0000;"><em></em></span></strong><br /><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><strong><span style="color:#ff0000;">อย่าสิไลลืมถิ่ม มูลมังตั้งแต่เก่า<br />อย่าสิเผามอดเมี้ยนเสียถิ่มบ่มีเหลือ<br />บาดว่าเทื่อมื้อหน้า สิพาเฮาให้เฮืองฮุ่ง<br />อีสานเอาสิพุ่ง เจริญขึ้นก็แต่หลัง เด้อ...."</span><br /></strong><span style="color:#33cc00;"></span></span><br /><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><span style="color:#33cc00;">บทความข้างต้นเป็นบทกลอนที่เรียกว่า "ผญา" เป็นบทกลอนของคนอีสาน สำหรับความหมายของคำผญาข้างต้นมีใจความรณรงค์ให้คนไทยร่วมกันอนุรักษ์ สืบสานวัฒนธรรมพื้นบ้านให้คงอยู่ต่อไปเผื่อว่าวัฒนธรรมเหล่านี้จะสามารถนำความเจริญมาสู่ประเทศของเราก็ได้ สำหรับศิลปวัฒนธรรมอีสานนั้นมีมากมายหลายอย่าง เช่น ตัวอย่างที่ทางชมรมนำมาเสนอเผยแพร่เป็นตัวอย่างพอสังเขป เพื่ออนุรักษ์ไว้ซึ่งวัฒนธรรม อันดีงาม วัฒนธรรมอีสานของชาวอีสานทุกสาขาที่บรรพบุรุษของเราได้สั่งสมไว้<br />จะเป็นวัฒนธรรมเกี่ยวกับชาติ ศาสนา ศิลปะ วิทยา จารีตประเพณี วรรณคดี ภูมิศาสตร์ และประวัติศาสตร์<br />เครื่องใช้ในครัวเรือน<br /><br /></span><span style="color:#ff0000;"><strong>ไห</strong> </span><span style="color:#33ccff;">คือภาชนะที่ใช้บรรจุปลาร้า หรือหน่อไม้ดอง หรือบรรจุของดองอย่างอื่น มีลักษณะคล้ายโถโบราณ<br /></span><span style="color:#ff0000;"><strong>ค่อง</strong></span> <span style="color:#33ccff;">คือภาชนะที่สานโดยไม้ไผ่ กลวง น้ำไหลเข้าออกได้ เป็นรูปคล้ายโถโบราณ มีไว้ใช้สำหรับบรรจุสัตว์น้ำ<br /></span><span style="color:#ff0000;"><strong>หวด</strong> </span><span style="color:#33ccff;">คือภาชนะที่สานโดยไม้ไผ่เป็นรูปกรวย ใช้สำหรับนึ่ง<br /></span><span style="color:#ff0000;"><strong>กระติบข้าว</strong></span><span style="color:#33ccff;"> คือภาชนะที่สานโดยไม้ไผ่เป็นรูปทรงกระบอก เพื่อบรรจุข้าวเหนียวนึ่ง</span><br /><span style="color:#ff0000;"><strong>กระด้ง</strong></span> <span style="color:#33ccff;">คือภาชนะกลมที่สานโดยไม้ไผ่ ลักษณะคล้ายถาด มีไว้สำหรับวางข้าวเหนียวที่นึ่งร้อนให้เย็นลง และใช้แทนถาดได้ด้วย<br /></span><br /><strong><span style="color:#ff0000;">หมอลำ</span></strong><span style="color:#ff0000;"> </span><br /><span style="color:#ff6600;">"ลำ" สามารถมองออกได้ในสองลักษณะเพื่อหาความหมายคือ แสดงออกเป็นกิริยา หมายถึงการขับร้อง คือ การนำเอาเรื่องราวในวรรณคดีมาขับร้องเป็น บทกลอนทำนองทีเป็นภาษาอีสาน แสดงออกเป็นคำนาม หมายถึง ชื่อเรื่องของการขับร้องหรือการแสดงที่เป็นเรื่องราว"หมอลำ" หมายถึง ผู้ที่มีความชำนาญในการขับร้องวรรณคดีอีสาน โดยการท่องจำเอากลอน มาขับร้อง หรือผู้ที่ชำนาญในการเล่านิทานเรื่องนั้น เรื่องนี้ หลาย ๆ เรื่อง</span></span><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><br /><strong><span style="color:#33cc00;">วิวัฒนาการของหมอลำ</span></strong><br /><span style="color:#cc0000;">เดิมทีสมัยโบราณในภาคอีสานเวลาค่ำเสร็จจากกิจธุรการงานมักจะมาจับกลุ่มพูดคุยกัน กับผู้เฒ่าผู้แก่เพื่อคุยปัญหาสารทุกข์สุกดิบและผู้เฒ่าผู้แก่นิยมเล่านิทานให้ลูกหลานฟัง นิทานที่นำมาเล่าเกี่ยวกับจารีตประเพณีและศีลธรรม ทีแรกนั่งเล่าเมื่อลูกหลานมาฟังกัน มากจะนั่งเล่าไม่เหมาะ ต้องยืนขึ้นเล่า เรื่องที่นำมาเล่าต้องเป็นเรื่องที่มีในวรรณคดี เช่นเรื่องกาฬเกษ สินชัย เป็นต้น ผู้เล่าเพียงแต่เล่า ไม่ออกท่าออกทางก็ไม่สนุกผู้เล่าจึงจำเป็นต้องยกไม้ยกมือแสดงท่าทางเป็น พระเอก นางเอก เป็นนักรบ เป็นต้น เพียงแต่เล่าอย่างเดียวไม่สนุก จึงจำเป็นต้องใช้สำเนียงสั้นยาว ใช้เสียงสูงต่ำ ประกอบ และหาเครื่องดนตร ีประกอบ เช่น ซุง ซอ ปี่ แคน เพื่อให้เกิดความสนุกครึกครื้น ผู้แสดงมีเพียงแต่ผู้ชายอย่างเดียวดูไม่มีรสชาติเผ็ดมัน จึงจำเป็นต้องหา ผู้หญิงมาแสดงประกอบ เมื่อ ผู้หญิงมาแสดงประกอบจึงเป็นการลำแบบสมบูรณ์ เมื่อผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องต่าง ๆ ก็ตามมา เช่น เรื่องเกี้ยวพาราสี เรื่องชิงดีชิงเด่นยาด (แย่ง) ชู้ยาดผัวกัน เรื่องโจทย์ เรื่องแก้ เรื่องประชัน ขันท้า เรื่องตลกโปกฮาก็ตามมา จึงเป็นการลำสมบูรณ์แบบ จากการมีหมอลำชายเพียงคนเดียวค่อย ๆ พัฒนาต่อมาจนมีหมอลำฝ่ายหญิง มีเครื่อง ดนตรีประกอบจังหวะเพื่อความสนุกสนาน จนกระทั่งเพิ่มผู้แสดงให้มีจำนวนเท่ากับตัวละครใน เรื่อง มีพระเอก นางเอก ตัวโกงตัวตลก เสนา ครบถ้วน<br /><br /></span><strong><span style="color:#3333ff;">หมอลำกลอน<br /></span></strong><span style="color:#ffcc00;">หมอลำกลอน เป็นศิลปะการแสดงที่เก่าแก่อันหนึ่งของอีสานลักษณะเป็นการลำ ที่มีหมอลำชายหญิงสองคนลำสลับกันมีเครื่องดนตรีประกอบเพียงชนิดเดียว คือแคน การลำมีทั้งลำเรื่องนิทานโบราณคดีอีสาน เรียกว่า ลำเรื่องต่อกลอนลำทวย (ทายโจทย์) ปัญหา ซึ่งผู้ลำจะต้องมีปฏิภาณไหวพริบที่ดีสามารถตอบโต้ ยกเหตุผลมาหักล้างฝ่ายตรงข้ามได้ ต่อมามีการเพิ่มผู้ลำขึ้นอีกหนึ่งคนอาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้ การลำจะเปลี่ยนเป็นเรื่อง ชิงรักหักสวาท ยาดชู้ยาดผัว เรียกว่า ลำชิงชู้ปัจจุบันกลอนนั้นหาดูได้ยากเพราะขาดความนิยมลงไปมากแต่ว่าปัจจุบันได้วิวัฒนการมาเป็นหมอลำซิ่งเพื่อความอยู่รอดและผลก็คือได้รับความนิยมในปัจจุบัน<br /><br /></span><strong><span style="color:#993399;">หมอลำกลอนซิ่ง</span></strong><br /><span style="color:#33ccff;">หมอลำกลอนซิ่งเป็นศิลปะการแสดงของชาวอีสานโดยได้นำเอาศิลปะที่มีมาตั้งแต่เดิมมาดัดแปลงประยุกต์ให้ทันสมัยคือนำเอาหมอลำกลอนซึ่งแต่เดิมนั้นเป็นการลำประกอบ แคนเพียงอย่างเดียวมาประยุกต์เข้าดนตรีชิ้นอื่น ๆ เช่น พิณ เบส และกลองชุด จนได้รับความนิยมปัจจุบันได้มีการนำเอาเครื่องดนตรีสากลเช่น ออร์แกนคีย์บอร์ดมาประยุกต์เล่นเป็นทำนองหมอลำ ทำให้จังหวะสนุกคึกครื้น ประกอบกับการนำเพลงสากลเพลงสตริงเพลงลูกทุ่งที่กำลังฮิตมาประยุกต์เข้าด้วยลำซิ่ง เป็นวิวัฒนาการของลำคู่ (เพราะใช้หมอลำ 2-3 คน) ใช้เครื่องดนตรี สากลเข้าร่วมให้จังหวะเหมือนลำเพลิน มีหางเครื่องเหมือนดนตรีลูกทุ่ง กลอนลำสนุกสนานมีจังหวะอันเร้าใจ ทำให้ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว หมอลำกลอนซิ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นธุรกิจความความบันเทิงที่ได้รับความนิยม อีกแขนงหนึ่ง ที่ชาวอีสานนิยมจ้างไปเป็นมหรสพสมโภชน์งานที่ได้จัดขึ้นในโอกาสต่าง ๆรูปแบบการแสดง จะเป็นการร้องรำทำนองหมอลำประยุกต์กับเพลงที่สนุก โดยมีหมอลำฝ่ายชายคอยร้องแก้กับ หมอลำฝ่ายหญิง พร้อมกับ การ โชว์ลีลา การร่ายรำที่อ่อนช้อยงดงามและมีหมอแคนเป่าแคนประกบอยู่ข้าง ๆเพื่อคอยคลอแคนให้หมอลำไม่หลงคีย์เสียงของตนเองซึ่งหมอลำแต่ละคนจะมีหมอแคนประจำตัวของตัวเองปัจจุบัน วงหมอลำซิ่งใหญ่ ๆ จะมีหางเครื่องเพื่อเพิ่มสีสันอีกด้วย การว่าจ้าง เจ้าภาพจะเป็นคนจับคู่หมอลำเอง เพื่อจะได้เห็นการร้องแก้กันด้วยความสนุกสนานและมีไหวพริบ<br /></span><br /><strong><span style="color:#ff0000;">หมอลำหมู่ หมอลำเพลิน</span></strong><br /><span style="color:#ff6600;">เป็นการลำที่มีผู้แสดงครบหรือเกือบจะครบตามจำนวนตัวละครในเรื่องที่ดำเนินการแสดงมีอุปกรณ์ประกอบทั้งฉาก เสื้อผ้าสมจริงสมจังและยังมี.เครื่องดนตรีประกอบ แต่เดิมทีมีหลัก ๆคือ พิณ (ซุง หรือ ซึง) แคน กลอง การลำจะมี 2 แนวทาง คือ ลำเวียง จะเป็นการลำแบบลำกลอนหมอลำแสดงเป็นตัวละครตามบทบาทในเรื่อง การดำเนินเรื่อง ค่อนข้างช้า แต่ก็ได้ อรรถรสของละครพื้นบ้าน หมอลำได้ใช้พรสวรรค์ของตัวเองในการลำ ทั้งทางด้านเสียงร้อง ปฏิภาณไหวพริบ และความจำ เป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุ ต่อมาเมื่อดนตรีลูกทุ่งมีอิทธิพลมากขึ้นจึงเกิดวิวัฒนาการของ ลำหมู่อีกครั้งหนึ่ง โดยได้ประยุกต์ กลายเป็น ลำเพลิน ซึ่งจะมีจังหวะที่เร้าใจชวนให้สนุกสนาน ก่อนการลำเรื่องในช่วงหัวค่ำจะมีการนำเอารูปแบบของ วงดนตรีลูกทุ่งมาใช้เรียกคนดู กล่าวคือ จะมีนักร้อง(หมอลำ)มาร้องเพลงลูกทุ่งหรือบางคณะหมอลำได้นำเพลงสตริง ที่กำลังฮิตในขณะนั้น มีหางเครื่องเต้นประกอบ นำเอาเครื่อง ดนตรีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ เช่น กีตาร์ คีย์บอร์ด แซ็กโซโฟน ทรัมเปต และกลองชุด โดยนำมาผสมผสานเข้ากับเครื่องดนตรีเดิมได้แก่ พิณ แคน ทำให้ได้รสชาติของดนตรีที่แปลกออกไป ยุคนี้นับว่า หมอลำเฟื่องฟู มากที่สุดคณะหมอลำดัง ๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ในแถบจังหวัดขอนแก่น มหาสารคามอุบลราชธานี หมอลำหมู่สามารถแบ่งตามทำนองของบทกลอนลำได้อีกซึ่งแต่ละทำนองจะออกเสียงสูงต่ำ ไม่เหมือนกัน ได้แก่ ทำนองขอนแก่น ทำนองกาฬสินธิ์ มหาสารคาม ทำนองอุบล เป็นต้น</span><br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><strong><span style="color:#33cc00;">ฮีต 12</span></strong><br /><span style="color:#33ccff;">คนอีสาน มีวัฒนธรรมประจำชาติและประจำท้องถิ่น มาแต่โบราณกาลแล้วนับศตวรรษ จนถือเป็นฮีตเป็นคลอง ...ต้องปฏิบัติสืบกันมาจนเป็นประเพณีที่รู้จักกันดี และพูดจนติด ปากว่า "ฮีตสิบสอง คลองสิบสิบสี่"<br /></span><span style="color:#ff0000;"></span><span style="color:#00cccc;">ฮีตสิบสอง คำว่า ฮีต มาจากคำภาษาบาลีที่ว่า จารีตตะ แปลว่า ธรรมเนียม แบบแผนความประพฤติ ที่ดีงามปฏิบัติสืบต่อกันมาจนกลายเป็นประเพณี<br />ฮีต นั้นมี ๑๒ ประการ เท่ากับ ๑๒ เดือนใน ๑ ปี ตามระบบจันทรคติหรือพูดอีกนัยคือ การทำบุญ ๑๒ เดือนนั้นเอง<br /><br /></span><span style="color:#009900;"><span style="color:#ff0000;"><strong>ฮีตที่ ๑</strong></span>. บุญเข้ากรรม หรือ บุญเดือนเจียง<br />ภิกษุต้องอาบัติ สังฆาทิเสส ต้องอยู่กรรมถึงจะพ้นอาบัติ ญาติโยมแม่ออกแม่ตนผู้อยากได้บุญกุศลก็จะให้ไปทาน รักษาศีลฟังธรรมเกี่ยวกับการเข้ากรรมของภิกษุ เรียกว่า<br />บุญเข้ากรรม กำหนดเอาเดือนเจียงเป็นเวลาทำ จะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้ วันที่นิยม ทำเป็นส่วนมากคือวันขึ้น 15 ค่ำเพราะเหตุมีกำหนดให้ทำในระหว่างเดือนเจียง จึงเรียกว่า<br />บุญเดือนเจียง<br /></span></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><strong><span style="color:#ff0000;">ฮีตที่ ๒.</span></strong> บุญคูนข้าว หรือ บุญคูนลาน<br />ทีสำหรับตีหรือนวดข้าว เรียกว่า ลาน การเอาข้าวที่ตีแล้วมากองให้สูงขึ้น เรียกว่าคูนลาน หรือที่เรียกกันว่าคูนข้าว ชาวนาที่ทำนาได้ผลดี อยากได้กุศล ให้ทานรักษาศีลเป็นต้น<br />ก็จัดเอาลานข้าวเป็นสถานที่ทำบุญ การทำบุญในสถานที่ดังกล่าวเรียกว่าบุญคูนลานกำหนดเอาช่วงเดือนยี่เป็นเวลาทำบุญจึงเรียกว่าบุญเดือนยี่<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><strong><span style="color:#ff0000;">ฮีตที่ ๓.</span></strong> บูญข้าวจี่หรือบุญเดือนสาม<br />ข้าวเหนียวปั้นโรยเกลือ ทาไข่ไก่แล้วจี่ไฟให้สุก เรียกว่าข้าวจี่ การทำบุญมีให้ทานข้าวจี่เป็นต้น เรียกว่าบุญข้าวจี่ นิยมทำกันอย่างแพร่หลาย เพราะถือว่าได้กุศลเยอะ<br />ทำในช่วงเดือนสาม เรียกว่า บุญเดือนสาม<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><span style="color:#ff0000;"><strong>ฮีตที่ ๔.</strong></span> บุญเผวส หรือ บุญเดือนสี่<br />บุญที่มีการเทศน์พระเวส หรือ มหาชาติ เรียกว่าบุญเผวส(ผะ-เหวด) หนังสือมหาชาติ หรือ พระเวสสันดรชาดกแสดงถึงจริยวัตรของ พระพุทธเจ้าคราวพระองค์เสวย พระชาติเป็นพระเวสสันดร เป็นหนังสือเรื่องยาว 13 ผูก บุญเผวสนิยมทำกันในช่วงเดือนสี่<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><span style="color:#ff0000;"><strong>ฮีตที่ ๕.</strong></span> บุญสรงน้ำ หรือ บุญเดือนห้า<br />............... เมื่อเดือนห้ามาถึงอากาศก็ร้อนอบอ้าวทำให้คนเจ็บไข้ได้ป่วยการอาบน้ำชำระเนื้อกายเป็นวิธีการแก้ร้อนผ่อนให้เป็นเย็น ให้ได้รับความ สุขกายสบายใจ อีกอย่างหนึ่งมี เรื่องเล่าว่า เศรษฐีคนหนึ่งไม่มีลูก จึงไปบะบน(บนบาล) พระอาทิตย์และพระจันทร์เพื่อขอลูกเวลาล่วงเลยมาสามปี ก็ยังไม่ได้ลูกจึงไปขอลูกกับต้นไทรใหญ่ เทวดาประจำต้นไทร ใหญ่ มีความกรุณาได้ไปขอลูกนำพระยาอินทร์ พระยาอินทร์ให้ธรรมะปาละกุมาร (ท้าวธรรมบาล) มาเกิดในท้องภรรยาเศรษฐี เมื่อธรรมะปาละประสูติ เจริญวัยวัยใหญ่ขึ้น ได้เรียนจบไตรเภท เป็นอาจารย์สอนการทำมงคลแก่คนทั้งหลาย กบิลพรหมลงมาถามปัญหาธรรมะปาละกุมาร(ถามปัญหาสามข้อคือ คนเราในวันหนึ่ง ๆ มีศรีอยู่ที่ ไหนบ้าง ถ้าธรรมบาลตอบได้จะตัดศีรษะตนบูชา แต่ถ้าตอบไม่ได้จะตัดศีรษะธรรมบาลเสียดผลัดให้เจ็ดวันในชั้นแรก ธรรมบาลตอบไม่ได้ ในวันถ้วนหก ธรรมบาลเดินเข้าไปในป่า บังเอิญได้ยินนกอินทรีย์สองผัวเมียพูดคำตอบให้กันฟัง ตอนเช้าศรี อยู่ ที่หน้า คนจึงเอาน้ำล้างหน้าตอนเช้า ตอนกลางวันศรีอยู่ที่อก คนจึงเอาน้ำหมดประพรหมหน้าอกตอนกลางวัน และตอนเย็นศรีอยู่ที่เท้า คนจึงเอาน้ำล้างเท้าตอนเย็น ธรรมบาลจึงสามารถตอบคำถามนี้ได้)สัญญาว่าถ้าธรรมบาลตอบปัญหาจะตัดหัวของตนบูชา ธรรมบาลแก้ได้ เพราะศีรษะของ กบิลพรหมมีความศักดิสิทธ์มาก ถ้าตกใส่แผ่นดินจะเกิดไฟไหม้ ถ้าทิ้งขึ้นไปในอากาศฝนจะแล้ง ถ้าทิ้งลงมหาสมุทรน้ำจะแห้ง ก่อนตัดศีรษะกบิลพรหมเรียกลูกสาวทั้งเจ็ดคน เอาขันมา รองรับแห่รอบเขาพระสุเมรุ หกสิบนาที แล้วนำไปไว้ที่เขาไกรลาสเมื่อถึงกำหนดปีนางเทพธิดาทั้งเจ็ดผลัดเปลี่ยนกันมาเชิญเอาศีรษะท้าวกบิลพรหมมาแห่รอบเขาพระสุเมรุ แล้ว กลับไปเทวะโลก<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><strong><span style="color:#ff0000;">ฮีตที่ ๖.</span></strong> บุญบังไฟ หรือบุญเดือนหก<br />การเอาขี้เจีย(ดินประสิว) มาประสมคั่วกับถ่าน โขลกให้แหลกเรียกว่าหมื่อ (ดินปืน) เอาหมื่อใส่กระบอกไม้ไผ่อัดให้แน่น แล้วเจาะรูใส่หางเรียกว่าบั้งไฟ การทำบุญ มีให้ทาน เป็นต้น เกี่ยวกับการทำบ้องไฟ เรียกว่า บุญบั้งไฟ กำหนดทำกันในเดือนหกเรียกว่าบุญเดือนหก เพื่อขอฟ้าขอฝนจากเทวดาเมื่อถึงฤดูแห่งการเพาะปลูก ทำไร่ทำนา<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><strong><span style="color:#ff0000;">ฮีตที่ ๗.</span></strong>บุญซำฮะ หรือ บุญเดือนเจ็ด<br />การชำฮะ(ชำระ) สะสาวสิ่งสกปรกโสโครกให้สะอาดปราศจากมลทินโทษหรือความมัวหมอง เรียกว่า การซำฮะสิ่งที่ต้องการทำให้สะอาดนั้นมี 2 อย่างคือ ความสกปรก ภายนอกได้แก่ร่งกาย เสื้อผ้า อาหารการกิน ที่อยู่อาศัย และความสกปรกภายใน ได้แก่จิตใจเกิดความความโลภมากโลภา โกรธหลง เป็นต้น แต่สิ่งที่จะต้องชำระในที่นี้คือเมื่อบ้าน เมืองเกิดข้าศึกมาราวีทำลาย เกิดผู้ร้ายโจรมาปล้น เกิดรบราฆ่าฟันแย่งกันเป็นใหญ่ผู้คนช้างม้าวัวควายล้มตาย ถือกันว่าบ้านเดือดเมืองร้อนชะตาบ้านชะตาเมืองขาด จำต้องซำฮะ<br />ให้หายเสนียดจัญไร การทำบุญมีการรักษาศีลให้ทานเป็นต้นเกี่ยวกับการซำฮะนี้เรียกว่าบุญซำฮะ มีกำหนดทำให้ระหว่างเดือนเจ็ด จึงเรียกว่าบุญเดือนเจ็ด<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><strong><span style="color:#ff0000;">ฮีตที่ ๘.</span></strong>บุญเข้าวัดสา(เข้าพรรษา) หรือบุญเดือนแปด<br />การอยู่ประจำวัดวัดเดียวตลอดสามเดือนในฤดูฝนเรียกว่าเข้าวัดสาโดยปกติกำหนดเอาวันแรมหนึ่งค่ำเดือนแปดเป็นวันเริ่มต้น เรียกว่าบุญเดือนแปด<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><strong><span style="color:#ff0000;">ฮีตที่ ๙.</span></strong> บุญข้าวห่อประดับดิน หรือบุญเดือนเก้า<br />การห่อข้าวปลาอาหารและของเคี้ยวของกินเป็นห่อ ๆ แล้วเอาไปถวายทานบ้าง ไปแขวนตามกิ่งไม้ในวัดบ้าง เรียกว่าบุญข้าวประดับดิน เพราะมีกำหนดทำบุญ ในเดือนก้าวจึงเรียกว่า บุญเดือนเก้า<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><strong><span style="color:#ff0000;">ฮีตที่ ๑๐.</span></strong>บุญข้าวสาก หรือบุญเดือนสิบ<br />การเขียนชื่อใส่สลากให้พระภิกาและสามเณรจับและเขียนชื่อใส่ภาชน์ข้าวถวายตามสลากนั้นและทำบุญอย่าอื่นมีรักษาสีลฟังธรรม เป็นต้น เรียกว่าบุญข้าสาก (สลาก ) เพราะกำหนดให้ทำในเดือนสิบ จึงเรียกว่าบุญเดือนสิบ<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#009900;"><strong><span style="color:#ff0000;">ฮีตที่ ๑๑.</span></strong>บุญออกวัดสา (ออกพรรษา) หรือบุญเดือนสิบเอ็ด<br />การออกจากเขตจำกัดไปพักแรมที่อื่นได้เรียกว่า ออกวัดสา คำว่าวัดสาหมายถึงฤดูฝน ในปีหนึ่งมี 4 เดือน คือ ตั้งแต่วันแรมสี่ค่ำเดือนแปดถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ในระยะ สี่เดือนสามเดือนต้น ให้เข้าวัดก่อน เข้าครบกำหนดสามเดือนแล้วให้ออก อีกเดือนที่เหลือให้หาผ้าจีวรมาผลัดเปลี่ยนการทำบุญมีให้ทานเป็นต้น เรียกว่าการทำบุญเดือนสิบเอ็ด<br /></span></div><br /><br /><div align="left"><span style="font-family:courier new;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#009900;"><strong><span style="color:#ff0000;">ฮีตที่ ๑๒.</span></strong> บุญกฐิน หรือ บุญเดือนสิบสอง<br />ผ้าที่ใช้ไม้สดึงทำเป็นขอบซึ่งเย็บจีวร เรียกว่าผ้ากฐิน ผ้ากฐินนี้มีกำหนดเวลาในการถวายเพียงหนึ่งเดือนคือตั้งแต่ แรมหนึ่งค่ำเดือนสิบเอ็ด ถึง เพ็ญสิบสอง เพราะกำหนดเวลาทำในเดือน ๑๒ จึงเรียกว่าบุญเดือนสิบสอง</span><br /><br /></span><span style="font-size:130%;"><strong><span style="color:#ff6600;"><span style="font-size:180%;">คลอง 14</span><br /></span></strong></span><span style="font-size:130%;"><span style="color:#990000;">คลองสิบสี่ หมายถึง ข้อกติกาของสังคม ๑๔ ประการที่ยึดถือปฏิบัติต่อกันเพื่อความสงบเรียบร้อยของสังคม มีดังนี้<br />๑. เมื่อได้ข้าวใหม่หรือผลหมากรากไม้ ให้บริจาคทานแก่ผู้มีศิลแล้วตนจึงบริโภคและแจกจ่ายแบ่งญาติพี่น้องด้วย<br />๒. อย่าโลภมาก อย่าจ่ายเงินแดงแปงเงินคว้าง และอย่ากล่าวคำหยาบช้ากล้าแข็ง<br />๓. ให้ทำป้ายหรือกำแพงเอือนของตน แล้วปลูกหอบูชาเทวดาไว้ในสี่แจ(มุม)บ้านหรือแจเฮือน<br />๔. ให้ล้างตีนก่อนขึ้นเฮือน ๕ เมื่อถึงวันศีล ๗-๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำ ให้สมมาก้อนเส้า สมมาคีงไฟ สมมาขั้นบันได สมมาผักตู(ประตู)เฮือนที่ตนอาศัยอยู่<br />๖. ให้ล้างตีนก่อนเข้านอนตอนกลางคืน<br />๗. ถึงวันศีล ให้เมียเอาดอกไม้ธูปเทียนมาสมมาสามี แล้วให้เอาเอาดอกไม้ไปถวายสังฆเจ้า<br />๘. ถึงวันศีลดับ ศีลเพ็ง ให้นิมนต์พระสงฆ์มาสูดมนต์เฮือน แล้วทำบุญตัก บาตร<br />๙.เมื่อภิกษุมาคลุมบาตร อย่าให้เพิ่นคอย เวลาใส่บาตรอย่าซุน(แตะ)บาตร อย่าซูนภิกษุสามเณร<br />๑๐. เมื่อภิกษุเข้าปริวาสกรรม ให้เอาขันขันข้าวตอกดอกไม้ธูปเทียน และเครื่องอัฐบริขารไปถวายเพิ่ม<br />๑๑.เมื่อเห็นภิกษุ เดินผ่านมาให้นั่งลงยกมือไหว้แล้วจึงค่อยเจรจา<br />๑๒. อย่าเงียบเงาพระสงฆ์<br />๑๓. อย่าเอาอาการเงื่อน(อาหารที่เหลือจากการบริโภค)ทานแก่สังฆเจ้าและอย่าเอาอาหารเงื่อนให้สามีตัวเองกิน<br />๑๔. อย่าเสพกามคุณในวันศิล วันเข้าวัดสา วัดออกพรรษา วันมหาสงกรานต์และวันเกิดของตน<br /><br /></span><br /></span></div><p></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5Q1XCgjH5NmFd94QAntk6g7r1QM8xMUBmOeHCD_GGYYKQjmRKOFREuR_X8ec13BYfn51f2CF32u4jUnfgbiX34Ol8Ltg3ARyvKs-31y5lYSENE_e11ExNeNvfapk54r99YNhu96dYu-gw/s1600-h/jkk.jpg"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><img style="TEXT-ALIGN: center; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; DISPLAY: block; HEIGHT: 317px; CURSOR: hand" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5423831505230909794" border="0" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi5Q1XCgjH5NmFd94QAntk6g7r1QM8xMUBmOeHCD_GGYYKQjmRKOFREuR_X8ec13BYfn51f2CF32u4jUnfgbiX34Ol8Ltg3ARyvKs-31y5lYSENE_e11ExNeNvfapk54r99YNhu96dYu-gw/s320/jkk.jpg" /></span></a><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><br /><br /><br /><object width="445" height="364"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/ZxSr6YPtrKo&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/ZxSr6YPtrKo&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="445" height="364"></embed></object><br /><br /><br /><object width="445" height="364"><param name="movie" value="http://www.youtube.com/v/aKUA2vAJWFY&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1"><param name="allowFullScreen" value="true"><param name="allowscriptaccess" value="always"><embed src="http://www.youtube.com/v/aKUA2vAJWFY&hl=en_US&fs=1&color1=0xe1600f&color2=0xfebd01&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="445" height="364"></embed></object><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><span style="color:#cc33cc;"><strong>แหล่งที่มาของบทความ</strong></span><br /><br /><span style="color:#3366ff;"><a href="http://www.kmitl.ac.th/esan">http://www.kmitl.ac.th/esan</a><br /><a href="http://student.swu.ac.th/hm471010389/isan.htm">http://student.swu.ac.th/hm471010389/isan.htm</a><br /></span></span><span style="font-family:courier new;font-size:130%;"><span style="color:#3366ff;"><a href="http://learning.eduzones.com/phanphama/32874">http://learning.eduzones.com/phanphama/32874</a></span></span> </p>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2724532624368493706.post-49489900027494607132009-12-16T23:14:00.000-08:002010-01-06T18:33:39.613-08:00คลิปฮาๆ<object width="400" height="300"><param name="movie" value="http://www.youtube-nocookie.com/v/20QWXEPZsAE&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="http://www.youtube-nocookie.com/v/20QWXEPZsAE&hl=en_US&fs=1&color1=0xcc2550&color2=0xe87a9f&border=1" type="application/x-shockwave-flash" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true" width="400" height="300"></embed></object>nanavagihttp://www.blogger.com/profile/06148613943494841013noreply@blogger.com1